บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 ; ทะลุมิติ

หมอชมพูนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นดิน ขณะที่สติของเธอกำลังจะดับวูบไป ในหัวของหญิงสาวยังคงคิดถึงเรื่องราวในอดีตชาติก่อนหน้านี้

หากมีโอกาสอีกครั้ง เธอก็อยากกลับไปในที่แห่งนั้น กลับไปแก้ไขเรื่องราวความผิดพลาดที่ติดอยู่ภายในใจของเธอ

ครั้งนี้ชมพูสัญญาว่าจะดูแลบิดาให้ดีที่สุดและเธอเองจะทำทุกวิถีทางขัดขวางไม่ให้เพื่อนร่วมชะตากรรมอย่างท่านอ๋องสามต้องตกนรกทั้งเป็นอีกเป็นครั้งที่สอง...

"เพราะเจ้าเซี่ยต้าไห่ ข้าจึงต้องมาบาดเจ็บเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเจ้าพาพวกข้าขึ้นเขามีหรือที่พวกข้าจะได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งพวกข้ายังต้องแบกเจ้ามาส่งอีก!"

เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นของชาวบ้านผู้หนึ่งกำลังกล่าวโทษชายวัยกลางคนที่นอนเจ็บเลือดอาบไปทั้งตัวอยู่บนพื้นดินกลางลานหน้าบ้านเก่าสภาพทรุดโทรมหลังหนึ่ง โดยมีชาวบ้านมามุงดูกันอยู่รอบ ๆ บ้างก็วิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรมว่าเป็นเพราะเซี่ยต้าไห่นำคนขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในอันตรายบาดเจ็บกลับมาเช่นนี้ ทั้งที่พวกเขาก็ไปล่าสัตว์หาของป่ามากินมาขายอย่างที่พวกเขาเคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

คราวนี้ดันเกิดเรื่องอันตรายที่ไม่คาดคิดขึ้น ชาวบ้านพวกนี้จึงฉวยโอกาสกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของเซี่ยต้าไห่ เพื่อให้เขาชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวบ้านผู้นั้น

เสียงเอะอะโวยวายโดยรอบดึงชมพูออกจากนิทรา แสงสว่างสีขาวผ่านเข้ามาในดวงตาที่สะลึมสะลือเปิดปรือลืมขึ้นมาได้เล็กน้อย เพื่อปรับม่านตาให้เข้ากับแสงสว่างภายนอก

คุณหมอชมพูกะพริบตาถี่ ๆ มองไปรอบ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงสาวก็พบว่าตนเองได้กลับมาอยู่ในโลกที่คุ้นเคยและโหยหาอยากกลับมาที่สุดแล้ว

‘นี่ฉันทะลุมิติมาจริง ๆ ใช่ไหม’

หัวใจของคุณหมอสาวเต้นระรัวด้วยความดีใจ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย เมื่อคิดว่าจะได้พบบิดาของเธออีกครั้ง หากแต่สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างวุ่นวายไม่ค่อยดีนัก

คุณหมอชมพูที่พึ่งทะลุมิติมาอยู่ในร่างของสาวน้อยวันสิบสี่ปี นามว่าเซี่ยอันหนิง พอได้สติดีแล้วก็พยุงร่างกายผอมบางลุกขึ้นเดินโซซัดโซไปทางร่างของชายอาบเลือด แล้วใช้สองมือประคองเขาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

เธอเองหันมองบิดาที่นอนหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมแขนด้วยสีหน้าซับซ้อน เหตุการณ์นี้ในชาติก่อนชมพูยังคงจำได้ดีราวกับว่าพึ่งเกิดขึ้นไม่นาน และครั้งนี้เธอจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายเช่นเดิมอีก

หญิงสาวค่อย ๆ พยุงร่างที่อาบไปด้วยเลือดของบิดาขึ้นมาพิงต้นไม้ใกล้ ๆ โดยที่ไม่มีใครสนใจ เพราะพวกชาวบ้านกำลังโหวกเหวกโวยวายกับญาติผู้พี่ของบิดาของเธออยู่ คราวนี้จะต้องจัดการคนพวกนี้ให้ได้ (ต่อไปนี้สรรพนามแทนตัวนางเอกจะเป็น ‘นาง’ แล้วนะคะ และชื่อก็จะใช้เซี่ยอันหนิง เพราะเข้าสู้เนื้อเรื่องยุคโบราณแล้วค่ะ)

"พวกท่านนี่ช่างไร้จิตสำนึกเสียจริง หรือจะให้เรียกว่าเนรคุณดีล่ะ ไม่ใช่เพราะท่านพ่อข้าหรอกหรือ พวกท่านถึงได้มีกินมีใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่พอมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกลับมาโทษท่านพ่อข้าอยู่ฝ่ายเดียว เพียงเพราะต้องการเรียกร้องเงินค่าเสียหาย เฮอะ! ช่างน่าขันยิ่งนัก" เสียงเล็กหวานเอ่ยขึ้นด้วยความเย้ยหยันเข้ากันกับสายตาดูแคลนของเด็กสาววัยสิบสี่ปี

กลุ่มชาวบ้านได้ยินคำพูดเย้ยหยันของเซี่ยอันหนิงแล้วก็ยิ่งทำให้ตกใจนัก เด็กสาวผู้นี้เมื่อก่อนด่าใครเป็นเสียที่ไหน แต่ดูตอนนี้สิ นางกำลังเท้าเอวด่าพวกเขาอยู่มิใช่หรือ

"นังเด็กนี่ หากไม่ใช่เพราะพ่อเจ้าพาพวกข้าไป ข้าจะบาดเจ็บเช่นนี้ได้อย่างไร" ชายผู้นั้นเอ่ยจบก็เปิดให้ดูแขนขาที่ถลอกปอกเปิกของเขาเพื่อให้ผู้อื่นได้เห็นชัด ๆ ว่าเขาได้รับบาดเจ็บจริง ๆ

"เช่นนั้นพวกท่านก็แหกตาดูท่านพ่อข้าที่นอนจมกองเลือดตรงนั้นสิ" เซี่ยอันหนิงพูดพลางชี้นิ้วไปที่บิดาของนางที่หมดสตินั่งพิงต้นไม้อยู่ใกล้ ๆ 

"หรือจะให้ข้าเรียกร้องค่าเสียหายจากพวกท่านดีล่ะ ที่ให้ท่านพ่อของข้าที่ทั้งตาบอดและขาพิการพาขึ้นเขาไปล่าสัตว์หาผลประโยชน์ให้ตนเอง แล้วพอเกิดเรื่องขึ้นกลับมาก็กลับโทษเขา หากไม่เรียกว่าหน้าไม่อายจะให้เรียกอันใดได้อีก หรือจะให้ข้าฟ้องร้องพวกท่านเห็นว่าอย่างไรเล่า" เซี่ยอันหนิงตะโกนตอบกลับมุมปากแสยะยิ้มเย็นชาจนน่าขนลุก

ชาวบ้านพวกนั้นที่มามุงดูต่างหันไปมองหน้ากันและกันเลิ่กลั่ก แล้วหันไปมองชายผู้นั้นที่นั่งหมดสติอยู่อีกครั้ง

ถึงพวกเขาจะไม่มีความรู้ แต่ดูจากสายตาจริงจังของเด็กสาวแล้ว พวกเขาก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อย และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเขาด้วยหากพวกเขาโดนร่างแหขึ้นมาด้วยจะทำอย่างไร

ชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องต่างพากันเดินกลับบ้านใครบ้านมัน โดยไม่สนใจชายหนุ่มที่ก่อนหน้านี้เอาแต่โวยวายยุยงไม่ฟังใครอีก ชายผู้นั้นเมื่อเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไปก็ชั่งใจขึ้นมาแล้ว ดูสายตาเอาจริงของนางนั่นสิ ราวกับจ้องจะเขมือบเขาอย่างไรอย่างนั้น วันนี้เขาคงเรียกร้องอะไรมิได้เป็นแน่

"โธ่เว้ย! เห็นแก่ที่พ่อเจ้าเจ็บหนัก ข้าจะไม่เอาความก็แล้วกัน" ชายผู้นั้นว่าแล้วก็รีบสาวเท้าเดินจากตรงนี้ไปทันที เหลือเพียงญาติ ๆ ของตระกูลเซี่ยเท่านั้น ที่ยังคงยืนคิ้วขมวดไม่พอใจอยู่

สายตาญาติ ๆ ตระกูลเซี่ยตอนนี้จับจ้องมายังเซี่ยอันหนิงและเซี่ยต้าไห่บิดาของนางเป็นตาเดียว พวกเขาคิดว่าจากสภาพโชกเลือดของเซี่ยต้าไห่ เขาคงไม่สามารถรอดจากคืนนี้ได้เป็นแน่ จึงหันไปมองหน้ากันราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

เซี่ยกงสวีพี่ใหญ่สุด ผู้ที่ได้รับช่วงต่อจากบ้านใหญ่ของตระกูลเซี่ยเห็นดังนั้น จึงยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ เขาหันไปมองหน้านางซูเหลียน ภรรยาตัวเองที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ

"ข้าว่าอย่างไรพ่อเจ้าคงไม่รอดคืนนี้ เช่นนั้นข้าวของที่บ้านของพวกเจ้าก็ให้บ้านพวกเราก็แล้วกัน แม้พวกเจ้ายังไม่แยกบ้านแล้วไหนเลยจะมีสิทธิในของพวกนี้ เจ้าเซี่ยต้าไห่เจ้าอยู่บ้านข้าเช่นนั้นข้าวของในบ้านก็ต้องเป็นของข้า" เซี่ยกงสวีกล่าวแล้วจึงถือโอกาสเข้าไปรื้อค้นของในเรือนเซี่ยต้าไห่ทันที โดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของเซี่ยอันหนิงแม้แต่น้อย ซูเหลียนผู้เป็นภรรยาเห็นเช่นนั้นจึงรีบตามสามีไปอย่างรวดเร็ว

"พวกท่านอย่านำของที่พ่อข้าหามาได้ไปนะ!! หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้"

เซี่ยอันหนิงวิ่งตามไปขวางพวกเขาไว้แต่ก็ไม่เป็นผล พวกญาติชั่วร้ายคิดจะมาแย่งข้าวของที่ท่านพ่อนางหามาด้วยความยากลำบากไปหรือ พวกท่านอย่าได้หวังว่าจะเอาสิ่งใดไปได้เลย 

"ช่วยด้วย ๆ เจ้าค่า ใครก็ได้ช่วยด้วย อย่าเอาของของท่านพ่อข้าไปเลยนะเจ้าคะท่านลุง ฮือฮือ ท่านพ่อข้าหาสิ่งของเหล่านี้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายอย่างยากลำบาก อย่าเอาของของท่านพ่อข้าไปเลยเจ้าค่ะ"

เซี่ยอันหนิงกรีดร้องเสียงดังพร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มอมชมพูของนางจนดูน่าสงสาร นางไม่ได้คาดหวังให้ใครมาช่วยเหลือ หวังเพียงให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตลามไปจนถึงหูผู้นำหมู่บ้านเท่านั้น จึงต้องกรีดร้องเสียงดังหน่อย ชาวบ้านจึงจะได้เข้ามามุงดูเยอะ ๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel