4. ความเจ็บปวดจากครอบครัว
เวลานี้บรรยากาศในกองถ่ายเต็มไปด้วยความคึกคัก เจียงลี่มี่มองดูคนอื่นกำลังเข้าฉากด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอรู้สึกอิ่มตัวกับงานแสดง บทบาทที่ได้รับล้วนสร้างความกดดันให้เธอมากมาย
ฉากหน้าเธอทำได้เพียงยิ้มแย้ม แต่ในใจกำลังร้องไห้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ปลอบใจเธอคือนิยายเรื่อง 'ผลอิงเถาของเหมยฮวา' เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้นักเขียนจะปล่อยตอนพิเศษ เจียงลี่มี่จึงหยิบไอแพดมาเปิดดู แต่ขณะที่กำลังโหลดอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นเสียก่อน หยิบขึ้นมาดูแล้วก็ต้องถอนหายใจเมื่อเห็นว่าใครโทรมา เธอรีบปลีกตัวเดินไปอีกทางที่ไกลจากทุกคนในกองถ่าย
“ฮัลโหล ฉันเช็คตารางคิวงานของแกแล้ว ทำไมแกถึงได้ขี้เกียจขนาดนี้ ไหนจะเลือกรับงานอีก นี่แกบ้าไปแล้วรึไง นังลูกไม่รักดี!"
เสียงนั้นดังมาก จนเจียงลี่มี่ต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากใบหูและแอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงไม่สามารถออกจากวงการได้
"แม่คะ หนูบอกไปแล้วนี่คะว่าหนูเหนื่อย ที่ผ่านมาหนูทำงานหนักมาก แม่ก็เห็น หนูอยากพักบ้าง หนูไม่ใช่หุ่นยนต์นะคะที่จะได้ทำงานโดยไม่ต้องพัก"
แม้จะพูดแบบนี้มาแล้วไม่รู้กี่หนต่อกี่หน แต่แม่ของเธอก็ไม่เคยสนใจ
"เดี๋ยวนี้แกกล้าเถียงฉันเหรอ! ใช่สิ! เดี๋ยวนี้แกดังแล้วนี่ เลยไม่เห็นหัวฉัน แต่แกอย่าลืมสิ ใครให้ชีวิตแกมา ไม่ใช่ฉันเหรอ อย่ามาปากดีกับฉัน แล้วเรื่องงาน ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยให้รับงานเยอะ ๆ อย่ามาทำสำออย"
เจียงลี่มี่น้ำตาคลอ ทุกคำที่แม่ของเธอพูดช่างใจร้ายนัก จนเธออยากรู้ว่าแม่รักเธอบ้างหรือไม่
"แม่เคยรักหนูบ้างมั้ย เคยเห็นหนูเป็นลูกบ้างมั้ย"
"ทำไมแกถามฉันแบบนี้ ฉันเป็นแม่แกนะ อุ้มท้องแกมาเก้าเดือนสิบเดือน ต่อให้ฉันจะรักหรือไม่รัก แกก็ต้องตอบแทนฉัน!"
"หนูก็ทำมาตลอด เงินที่แม่ใช้ก็มาจากหนู ทำไมแม่ไม่ให้น้องไปทำงานบ้าง วัน ๆ เอาแต่นอนเล่นเกมอยู่บ้าน"
แม่ของเธอที่ได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งโมโห สำหรับเธอแล้ว ลูกชายคือสิ่งมีค่าที่สุด ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง
"แกอย่ามาว่าน้องนะ! แกเป็นพี่ก็ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และถ้าแกไม่มีเงิน แกก็ไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่งหรอก! ฉันไม่เคยอยากได้ลูกผู้หญิง ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่เอาแกออกตั้งแต่แรก สำนึกในบุญคุณของฉันเสีย!"
เจียงลี่มี่น้ำตาร่วง ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ แม่บังคับให้เธอหาเงินมาตลอด จนกระทั่งเธอได้เป็นดารา ครอบครัวของเธอก็มีเงินมากขึ้น และแม่ก็ยิ่งกดดันเธอ ขณะที่แม่และน้องชายใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เธอต้องแบกภาระทั้งหมด เธอเป็นคนเดียวที่ทำงานหาเลี้ยงทั้งครอบครัว เจียงลี่มี่รู้สึกท้อแท้เหลือเกิน
"ถ้าหนูเลือกเกิดได้ ชีวิตหนูคงดีกว่านี้ ที่ผ่านมาหนูพยายามทำทุกอย่างที่แม่ต้องการ แต่ตอนนี้หนูเหนื่อยมาก หนูอยากพัก ถึงแม่จะไม่เคยคิดว่าหนูเป็นลูก แต่ช่วยเห็นใจหนูในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็ได้ค่ะ"
"แกอย่ามาปากดี! รู้อย่างนี้ฉันไม่น่าให้แกเกิดมาเลย นังลูกเนรคุณ! แกมีทุกวันนี้ได้เพราะฉันทั้งนั้น ถ้าแกไม่ได้หน้าตาคล้ายฉัน แกจะได้เป็นดาราดังอย่างทุกวันนี้เหรอ"
"แล้วทำไมตอนนั้นคุณแม่ไม่ได้เป็นดาราล่ะ และก็มีแต่คนชมว่าหนูหน้าตาเหมือนพ่อ"
"นัง...นังสารเลว! แกกล้าพูดกับฉันแบบนี้เหรอ! คอยดูเถอะ กลับมาฉันจะตีแกให้น่วมเลย!"
ยิ่งฟังเจียงลี่มี่ก็ยิ่งร้องไห้ แม้จะได้ยินแบบนี้จนเหมือนจะชาชิน แต่ไม่มีสักครั้งที่เธอไม่รู้สึกเจ็บปวด ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เก่า ๆ คำพูดที่ทำร้ายจิตใจมาตลอด เธอยิ่งปวดศีรษะมากขึ้นและมากขึ้น ราวกับว่าศีรษะจะระเบิดเสียเดี๋ยวนี้ มือที่ถือโทรศัพท์เริ่มสั่น ร่างกายเริ่มเกร็ง อาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
"ถ้าจะโทรมาเพื่อพูดแบบนี้ ต่อไปหนูจะไม่คุยด้วยแล้วนะคะ หนูปวดหัว" หากแม่ของเธอไม่ยอมหยุด
"แค่นี้ทำเป็นอ่อนไหว รับไม่ได้ งั้นก็ตาย ๆ ไปเสียสิ! น่ารำคาญ! อยากพักงั้นเหรอ ตายไปก็ได้พักแล้ว ส่วนเรื่องงานฉันจะรับเอง ฉันหักเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม แค่นี้แหละคุยกับแกแล้วอารมณ์เสีย คนอย่างแกมันน่าตาย ๆ ไปเสีย ไม่มีอะไรดีสักอย่าง สู้น้องชายแกก็ไม่ได้ เป็นเด็กดีไม่เคยทำฉันปวดหัวเหมือนแก"
หลังจากวางสายเจียงลี่มี่ก็ยิ่งปวดศีรษะ คำพูดที่แม่ของเธอพูดมาตลอดวนเวียนอยู่ในสมอง เรื่องราวในอดีตค่อย ๆ ย้อนกลับมาในความทรงจำ
นังลูกสารเลว! ทำไมแกไม่นอนกับผู้กำกับ แล้วชาติไหนแกจะดัง!
ฉันบอกให้แกหาเงินเยอะ ๆ ไง! น้องชายแกอยากได้มือถือที่ออกใหม่ ไปหาเงินมาเดี๋ยวนี้!
นี่แกปฏิเสธงานอีกแล้วเหรอ! อยากพักมากนักก็ตายไว ๆ สิ ไม่รู้จะเกิดมาทำไม ฉันน่าจะเอาแกออกตั้งแต่แรก!
แกมันตัวซวย ตั้งแต่แกเกิดมา ชีวิตฉันก็มีแต่เรื่องซวย ๆ แกต้องชดใช้ หาเงินมาให้ฉันเยอะ ๆ ชดใช้ความผิดของแก!
เมื่อไหร่แกจะตายสักที! ดื้อด้าน! ต่อต้านฉันมากใช่ไหม ไสหัวไปนอนนอกบ้านเลย! นู่นที่นอนหมา ฉันเตรียมไว้ให้แก นังสารเลว!'
ทุกสิ่งที่ผ่านมา เจียงลี่มี่เจ็บช้ำ สิ่งที่เธอทำได้คือ แม้ชีวิตนี้จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่หลังจากตายไป เธอได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้มูลนิธิต่าง ๆ โดยเหลือให้แม่กับน้องชายเพียงแค่ 5%
ตอนนี้เธอทนกับอาการปวดศีรษะไม่ไหวแล้ว แค่จะยืนทรงตัว เธอก็ทำไม่ได้ ร่างกายมันเกร็งแน่น เหงื่อผุดเต็มใบหน้าที่ขาวซีด สีหน้าเหยเก ทุกอย่างในสายตาพร่ามัวลงอย่างรวดเร็ว เธอคล้ายได้เสียงใครสักคนดังอยู่ใกล้ ๆ ก่อนที่สติของเธอจะดับไป
"น้องคะ น้องเป็นอะไร ใครก็ได้ช่วยด้วย กรี๊ดดด!!!"