ตอน "เวลาชีวิต" 4
“หยุดเดี๋ยวนี้นะจันทร์ฉัตร!” ตะวันฉายแทบใจขาดเมื่อเห็นน้องทุบตีลูกในท้อง เขารีบเดินเข้าไปยืนทางด้านหลังแล้วคว้าร่างน้องมากอดไว้ มือทั้งสองข้างที่ทุบตีหน้าท้องแบนราบถูกมือใหญ่กำข้อมือของเธอไว้แน่นแล้วยกขึ้นแนบทรวงของเธอ
“คนหัวใจสกปรก! จันทร์เกลียดพี่ ได้ยินไหม...จันทร์เกลียดพี่...ฮืออ” จันทร์ฉัตรสะอื้นไห้จนเหนื่อย เธอหยุดดิ้นขัดขืน พักหายใจอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายที่เหยียบหัวใจของเธอ
“ฉันไม่ต้องการให้เธอแท้งลูกตายตรงนี้ไง” ตะวันฉายหลับตากลั้นน้ำตาแห่งความปวดร้าวไม่ยอมให้ไหล ใบหน้าหล่อบูดเบี้ยวเพราะความหน่วงหัวใจ เกยคางบนหัวไหล่บาง เขากัดฟันจนเส้นเลือดตรงขมับปูด เสียงแค้นเคืองสั่นเทากระซิบชิดแก้มด้านข้าง ปลายจมูกโด่งก็ฉวยโอกาสสูดดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคยจนพอใจ แล้วเขาก็ปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
“อยากให้จันทร์ออกไปจากชีวิตของพี่มากใช่ไหม งั้นพรุ่งนี้ก็ช่วยไปเจอกันที่อำเภอตอนสิบโมงเช้าด้วย...จันทร์จะรอพี่ที่นั่น” พูดจบจันทร์ฉัตรก็ใช้กำลังที่มีดันคนตัวใหญ่ให้ออกห่าง แล้ววิ่งหนีความเจ็บปวดอย่างทุลักทุเลออกจากบ้าน ไม่ยอมฟังเสียงร้องตะโกนของชายหนุ่มที่วิ่งตามหลังมาติดๆ
“จันทร์...พิ...พี่ขอโทษ”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นแข่งกับเสียงฟ้าฝ่าเปรี้ยงๆ ดังจนหัวใจของเขาแตกละเอียด ตะวันฉายวิ่งฝ่าสายฝนตามน้อง ทรมานเจ็บหน่วงไปทั่วอกด้านซ้าย เมื่อเห็นน้องวิ่งไม่คิดชีวิต ช่างเปรียบเสมือนน้องกำลังวิ่งหนีไปให้พ้นจากหัวใจของเขา
“หมอ! ลูกของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?” เสียงของวันเพ็ญถามหมอทำให้ตะวันฉายตื่นจากภวังค์ ดวงหน้ามีคราบน้ำตาเงยขึ้นจากฝ่ามือของตัวเอง ความร้าวรานเจ็บปวดบนใบหน้าของน้องทำให้ตะวันฉายสะอึกไห้ มือสั่นๆ ลูบหน้าที่ชาหนึบชา
“ใครจะเป็นคนเซ็นเอกสารครับ?”
ตะวันฉายยืนประกบหลังของวันเพ็ญ เขารับเอกสารมาถือไว้
“หมายความว่าไงครับ หมอ?” ตะวันฉายปากสั่นต้องกัดนิ้วตัวเองไว้แน่น เขาเจ็บแต่ไม่ใช่นิ้วที่ถูกกัดจนเลือดไหล แต่เป็นหัวใจของเขาเองที่เจ็บเพราะตัวเขาเป็นคนเหยียบขยี้ด้วยเท้าของตัวเอง ตะวันฉายตาแดงก่ำมีน้ำใสๆ ไหลผสมเลือดผ่านปลายคางหนาหยดลงกระทบเอกสารมอบอำนาจเปียกเป็นวงกลมหลายจุด
“ฟังและตั้งสติให้ดีๆ นะครับ ดวงตาทั้งสองข้างของคนป่วยใช้การไม่ได้แล้ว หมอต้องรีบผ่าตัดให้เร็วที่สุด” หมอยื่นปากกาให้ตะวันฉาย
“ชะ...ใช้การไม่ได้ หมายความว่า จันทร์ฉัตรจะมองไม่เห็นอีกแล้วใช่ไหมครับ” ตะวันฉายล้มทั้งยืน ร่างโตเซถอยหลังชนผนังห้องไม่มีแม้แต่แรงจะยืน แผ่นหลังที่พิงพนังห้องครูดไหลลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น
ตึงง!
สิ้นคำพูดของหมอว่า ลูกสาวสุดดวงใจจะกลายเป็นคนพิการตาบอด ทำให้วันเพ็ญช็อกอย่างกะทันหันดวงตาทั้งสองข้างเหลือกค้างมีน้ำตาไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา ร่างกายอ่อนแอ กล้ามเนื้อแข็งเกร็งล้มหงายหลัง
“นะ...น้าเพ็ญระวัง!” ตะวันฉายเจ็บปวดหัวใจร้าวระบมยิ่งกว่าเก่า เมื่อเขาไม่สามารถเข้าไปรับร่างของแม่ยายไว้ได้ ร่างโตตะเกียกตะกายคลานเข้าไปซ้อนอุ้มตัวของวันเพ็ญให้มานอนเกยหน้าอกแกร่ง
“ฉะ...ฉาย...นะ...น้า...ฝะ...ฝาก...นะ...น้องด้วยนะ” วันเพ็ญรู้ชะตาชีวิตของตัวเอง คำพูดแต่ละคำที่พูดออกมาก็จะมีเลือดกระเด็นออกมาจากปากและจมูก
“น้าเพ็ญ ฮืออ...ผมขอโทษ...ผมผิดไปแล้ว” ตะวันฉายเอ่ยเสียงสั่นเทาโทษตัวเอง
“ระ...รับ...ปาก...นะ...น้าสิ” เจ็บจี๊ดๆ ที่ขั้วหัวใจเหมือนถูกของแหลมๆ มาทิ่มแทงจนทำให้ใบหน้าขาวซีดบูดเบี้ยว เจ็บปวดมากยามได้ถอนหายใจเข้าออก
“ฮืออ...น้าเพ็ญอย่าเป็น อะไรนะครับ...ผะ...ผมขอโทษ”
ตะวันฉายร้องไห้โฮ เขาสะเทือนใจมากเมื่อเห็นสภาพของหญิงชรา ตะวันฉายกอดวันเพ็ญด้วยแขนข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็คอยเช็ดเลือดตรงมุมปากและปลายจมูก เขากลัวว่าแม่ยายจะเจ็บจึงเช็ดเบาๆ
“ระ...รับปาก...นะ...น้าสิ...ฉะ...ฉาย...จะ...มะ...ไม่ทิ้งน้อง”
“คะ...ครับ ผมรับปาก”
เมื่อได้คำตอบจากลูกเขย วันเพ็ญก็เริ่มมีอาการผิดปกติทางกายและใจ ปากเบี้ยวดวงตาเหลือกถลนแขนขาเกร็งและร่างกายก็กระตุกชักอย่างรุนแรง
“น้าเพ็ญต้องไม่เป็นอะไร! หมอครับ ช่วยแม่ยายผมด้วย ช่วยน้าเพ็ญด้วยครับหมอ” ตะวันฉายทำตามคำสั่งของหมอบอก เขาอุ้มวันเพ็ญให้นอนบนรถเข็น ชายหนุ่มยืนเคว้งคว้างไม่รู้จะไปห้องไหนดี ซ้ายคือห้องของเมียที่นอนรอการผ่าตัด ขวาคือห้องของแม่เมียที่นางพยาบาลสามสี่คนต่างพากันวิ่งเข้าวิ่งออกเพื่อช่วยเหลือวันเพ็ญ…
