ตอน "เวลาชีวิต" 2
ตะวันฉายส่ายหน้าปฏิเสธความผิดอันใหญ่หลวง ไม่กล้าที่จะหันหลังไปมองมารดาของภรรยา แต่เสียงครางเหมือนหญิงชราเจ็บปวดคล้ายคนจะเป็นลม ทำให้ตะวันฉายรีบเข้าไปประคองกอดพาไปนั่งที่เก้าอี้
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องถึง...” คำว่า ‘มาอยู่โรงพยาบาล’ ก็มีเสียงพูดของคุณหมอดังขึ้น
“ใครเป็นญาติของคนเจ็บครับ?”
คุณหมอมองหน้าตะวันฉายสลับมองหน้าของวันเพ็ญ นางยืนไม่ไหวต้องมีตะวันฉายคอยประคองกอด
“ผมเองครับ...ผมเป็นสามีของเธอ หมอ...ภรรยาของผมเป็นยังไงบ้างครับ” ตะวันฉายซีด หัวใจเต้นตึกตักๆ หวาดกลัวคำตอบของหมอ
“พวกคุณต้องทำใจนะครับ คนป่วยอาการโคม่ามากครับ” หมอสีหน้าเครียดขณะเล่าอาการของคนป่วย
“หมอต้องช่วยลูกเมียผมนะครับ” ตะวันฉายครางอ้อนวอนเสียงสั่น ดวงตาแดงก่ำเจ็บหัวใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้าที่น้องจะเกิดอุบัติเหตุ เขาโกรธและเกลียดตัวเองที่ทำให้น้องน้อยต้องเป็นแบบนี้
“ผมเสียใจด้วยนะครับที่ไม่สามารถช่วยเด็กไว้ได้”
คำพูดของหมอทำให้ตะวันฉายทรุดนั่งกองกับพื้น ซึ่งเป็นหมอเองที่ทำหน้าที่แทนตะวันฉายเข้าไปรับร่างของวันเพ็ญที่ยืนโอนเอนเซถลาจะล้ม
“จันทร์...ลูกแม่”
วันเพ็ญถูกคุณหมอพาไปนั่งที่เก้าอี้ นางนิ่วหน้าเจ็บที่ขั้วหัวใจ อาการแบบนี้เป็นมานานหลายเดือนแล้ว
“อึกก! จะ...จันทร์ พี่ขอโทษ” ตะวันฉายเหมือนคนกำลังจะตาย เขาไม่มีแรงจะเดินจึงคลานเข่าตามหลังหมอไปนั่งคุกเข่าตรงปลายเท้าของวันเพ็ญ
“มีอีกเรื่องที่คุณสองคนจะต้องรับรู้นะครับ...”
“เป็นเรื่องดีหรือร้ายครับ” ตะวันฉายหยุดหายใจ เขาหายใจเข้าออกเป็นระยะๆ เมื่อรู้สึกแน่นหน้าอก
“...” เงียบไม่มีคำตอบจากหมอ
“ผมขอร้องอย่าพูดเรื่องเลวร้ายอีกเลยครับ...ผมไม่ไหวแล้ว ผมกำลังจะตาย” ตะวันฉายกุมมือเย็นเฉียบของวันเพ็ญไว้ บีบเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญ เขาร้องไห้ไม่มีเสียง มีเพียงน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาเพียงข้างเดียว เจ็บหัวใจมากในเวลานี้เมื่อเห็นน้ำตาของแม่ยาย
“ศีรษะของคนป่วยถูกของแข็งกระแทกอย่างแรงจนทำให้เส้นประสาทสายตาฝ่อ คนป่วยอาจจะ...” หมอเว้นระยะการพูด ก่อนที่จะเอ่ยคำว่า ‘ตาบอดได้ครับ’ ออกไปก็ถูกตะวันฉายพูดตัดประโยค
“ทะ...ทำไมครับ ตาของจันทร์ฉัตรเป็นอะไร?” คำพูดของหมอทำให้ตะวันฉายหน้าซีด เขาหายใจไม่ออกจึงทุบๆ ตรงหน้าอกด้านซ้าย
“คุณหมอคะ แย่แล้ว คนไข้มีเลือดออกในเยื่อหุ้มเส้นประสาทตาค่ะ” นางพยาบาลออกมาบอกหมอให้รีบกลับเข้าไปยังห้องไอซียู
“ฮือๆ...จันทร์ลูกแม่...คุณหมอช่วยลูกของฉันด้วยนะคะ” วันเพ็ญร้องไห้สะอึกสะอื้น นางอ้อนวอนด้วยแววตาเจ็บปวด มือเหี่ยวย่นจับมือหมอไว้แน่น
“น้าเพ็ญอย่าร้องไห้เลยครับ” ตะวันฉายร้องไห้ตามแม่ยาย ทรมานหัวใจเมื่อเห็นวันเพ็ญคุกเข่าตรงปลายเท้าของหมอ
ชายหนุ่มคลานเข้าไปนั่งข้างๆ หญิงชรา...ตะวันฉายแกะมือวันเพ็ญออกจากมือหมอ ชายหนุ่มโอบบ่าบอบบางพยุงให้นางลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม
“น้องท้องหรือฉาย?” เมื่อได้อยู่กันตามลำพัง วันเพ็ญก็เอ่ยถาม แววตาฉ่ำน้ำสั่นระริกมองใบหน้าของลูกเขย
“ผะ...ผมก็เพิ่งจะทราบเหมือนกันครับ”
เสียงเย็นเยือกของวันเพ็ญทำให้ตะวันฉายหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง ชายหนุ่มเอาแต่นั่งคุกเข่า ก้มหน้าไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองสบตาหญิงชรา เพราะเขากลัวนางจะเห็นความเลวชั่วของตัวเองในดวงตาของเขา
“ทำไมน้องถึงถูกรถชน...ฉายจะบอกน้าได้ไหม ทำไมลูกสาวของน้าถึงเป็นแบบนั้น?” วันเพ็ญถามลูกเขยเสียงสั่นเครือ แววตาเอ็นดูเหมือนลูกคนหนึ่งมองชายหนุ่มอย่างรักใคร่
ตะวันฉายเข้ามาเป็นคนในครอบครัว ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มเป็นทายาทคนเดียวของมหาเศรษฐีรวยเงินล้นฟ้าติดอันดับสองของประเทศไทย แต่เป็นเพราะตะวันฉายกล้าเดินเข้ามาขอจันทร์ฉัตรจากนาง สัญญาต่อฟ้าดินและให้คำมั่น ว่าจะรักและปกป้องคุ้มครองลูกสาวของนางดั่งดวงตาดวงใจ ตะวันฉายได้ทำให้วันเพ็ญเชื่อใจยิ่งกว่าเก่า เมื่อพวกเขาทั้งสองได้พากันไปจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“...” ความเงียบที่มีเพียงเสียงสูดน้ำมูกของลูกเขยที่นั่งคุกเข่า ก้มหน้าไม่ยอมตอบคำถามของนางนั้น ทำให้วันเพ็ญสะอื้นไห้ ตะวันฉายใจร้าวรานเมื่อน้ำตาร้อนระอุของหญิงชราหยดลงบนเส้นผมของเขาซึมลงผิวหนังศีรษะ ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมองแม่ยาย มือสั่นเทายื่นเข้าไปเช็ดน้ำตาปลอบขวัญหญิงชรา
“ผม...”
ตะวันฉายส่ายหน้าไม่ยอมพูดความจริง เขาก้มกราบเท้าของวันเพ็ญ น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลอาบแก้มสากหยดลงบนหลังเท้าของแม่ยาย ดวงหน้าคมสันซบหน้าชิดเท้าทั้งสองข้างของวันเพ็ญ
ตะวันฉายนึกย้อนถึงเรื่องเลวร้ายที่ตนเองเป็นคนทำให้น้องต้องเป็นแบบนี้ เขาไม่กล้าเล่าเหตุการณ์ ว่าทำไมจันทร์ฉัตรถึงเกิดอุบัติเหตุให้วันเพ็ญฟัง
