บทที่ 3
แม้เวลาผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว แต่เธอก็ยังตัดสินใจไม่ใด้ว่ามีอะไรในตัวเขาที่ไม่น่าไว้วางใจ ดังนั้นจึงทำให้เธอหวั่นไหวเสมอเมื่อมีเขาอยู่ใกล้ หรือมันจะเป็นเพราะเขามีความเป็นผู้ชายเต็มตัวกระมัง
พ่อของเธอชื่นชมในตัวเขาอยู่มาก , แต่พ่อก็เป็นคนที่ขึ้นชมใครต่อใครอยู่เสมอ เพราะท่านเป็นคนประเภทมองคนในแง่ดี ซึ่งนั่นก็ทำให้ลาร่าไม่สงสัยในความสามารถของแมคเควดเมื่อพ่อถามความเห็นเกี่ยวกับตัวเขาหลังจากการพบกันครั้งแรกนั้น เธอไม่ได้แสดงความกังขาในความสามารถของ แรนชั่มแมคเควต แต่ก็มิได้คล้อยตามความเห็นของพ่อเสียทีเดียว
"หนูคิดว่าไอ้ความเด็ดขาดของเขามันเกิดขึ้นเพราะความย์โสมากกว่า" เธอดอบ
แต่พ่อกลับหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย ก่อนที่จะบรรยายถึงความสามารถต่างๆ ของแมคเควดให้เธอฟัง โดยเฉพาะความชำนาญพิเศษด้านผมวัวพันธุ์แขนต้า เกอทรูตีส ซึ่งเป็นวัวพันธุ์หลักของไร่ปศุสัตว์อเล็กชานเคอร์แห่งนี้ และความรู้สึกพิเศษเกี่ยวกับการบำรุงรักษาสวนพีคั่น ซึ่งเป็นผลไม้เปลือกแข็งแรงชนิดหนึ่งดังนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดาที่มีความชื่นชมในตัวเขาอย่างจริงใจ ลาร่าจึงไม่เคยออกความเห็นประสาผู้หญิง อันเป็นการแสดงความไม่เป็นมิตรต่อ แรนชั่ม แมคเควดเลย
เธอซะลอรถลง กวาดตามองไปทั้งสองข้างทางด้วยความแปลกใจ เธอกำลังอยู่บนเส้นทางนอกตัวเมืองและกำลังเลี้ยวช้าๆ เข้าสู่เส้นทางแยกไปยัง ลองลีฟ แพลนเตชั่น เรอตอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิดจนไม่ทันได้สังเกตว่าตนเองกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน สามัญสำนึกเท่านั้นที่บังคับไว้เพราะเธสามารถจะเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ ลาร่าสั่นศีรษะพยายามไล่ความคิดไร้สาระออกไปเสียจากสมอง ตั้งสมาธิยู่กับการที่จะได้พบกับแองจี้อีกครั้ง
หมู่ไม้ยืนต้นตระหง่านเงื้อมให้ร่มเงาแก่สนามหญ้ากว้างใหญ่ ต้นไม้ใบยาวเชียวจีตลอดกาลนี้เองที่ทำให้บริเวณล่าสัตว์แห่งนี้ได้ชื่อตามมัน แสงอาทิตย์ส่องต้องพื้นน้ำในทะเลสาบเล็กๆ ที่ราบเรียบราวกระจกใส ทางรถวิ่งเป็นทางโรยกรวดที่ทอดตัว เลี้ยวไปเรื่อยๆ ตามแนวป่า จนถึงบริเวณบ้านพักที่สร้างด้วยต้นไซเปรสกรุผนังด้วยใบยาวๆ ของมันดูเก๋และร่มรื่นนัก
รอยยิ้มกระจายอยู่บนใบหน้าของลารำ เมื่อมองเห็นภาพเรือนร่างระหง ผมสีดำสนิทของเพื่อนสาวที่ยืนพิง
อยู่ตรงราวระเบียง ในเสื้อสเวตเตอร์สีฟ้าซึ่งดูใหญ่กว่าขนาดตัวมาก กับกางแกงขายาวผ้าขนสัตว์สีเดียวกัน ทันทีที่ได้ยินเสียงแตรรถแองจี้ คอนเนอร์สก็วิ่งลงบันไดมา พร้อมกับโบกมืออย่างตื่นเต้นลาราเลื่อนรถเช้าไปจอดบริเวณด้านหน้าอันกว้างขวางของตัวบ้าน
ทันทีที่เธอลงจากรถ เพื่อนสาวก็โถมกายเข้ากอดไว้แน่น
"โอ้โฮ...ดูเธอสิ" แองจี้ร้องสั่น ดวงตาเป็นประกายวาววับด้วยความตื่นเต้น "เป็นสุภาพสตรีเต็มตัวเลยละ"
ลาร่าหัวเราะอย่างขัดเชินในวาจาของเพื่อน รู้สึกตื้นตันเมื่อได้พบกับเพื่อนสนิทที่แสนดีของเธอ ซึ่งมิได้พบหน้าค่าตากันมาเป็นเวลานาน แองจี้แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนักเรือนผมหยักศกดกดำ เรือนร่างระหงแบบบางดูเป็นผู้หญิงไปทั่วทั้งเนื้อตัว
"เธอน่ะแทบไม่เปลี่ยนเลยนะ" ลาร่ถอนหายใจ แต่ก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า หรือ...เช่นเดียวกับเธอ ที่แองจี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในใจอยู่บ้าง
"แค่สองปีเท่านั้นเธอจะให้ฉันเขี้ยวงอกหรือไงจีะ?" แองจี้เย้า กัดริมฝีปากล่างไว้ "ดีใจจังที่ได้พบเธออีกอย่างนี้น่ะ" เสียงของเธอแหบพร่าด้วยความรู้สึก "พบกันยังงี้ดีเสียกว่าเขียนจดหมายตั้งพันฉบับ มีเรื่องตั้งเยอะแยะที่จะคุยกัน ไหนเล่าเรื่องเทรเวร์ให้ฟังหน่อยสิ เชาเป็นยังไงบ้างล่ะ
ลาร่าเบือนหน้าหนีทันที เอื้อมไปหยิบกระเป๋าถือในรถ
"ก็สบายดี" เธอตอบอย่างเสียไม่ได้
"แล้วยังเป็นปีศาจแสนหล่อที่เปามนต์ใส่เธอตอนฮันนีมูนก่อนที่งานเลี้ยงรับรองแต่งงานจะมีขึ้นอยู่หรือเปล่าล่ะ?" แองจี้ถามปนหัวเราะ
"ก็เหมือนเดิม" แต่เสียงหัวเราะของลาร่าออกจะขึ้นด"บ๊อบล่ะ เป็นไงมั่ง?"
ประกายแห่งความพิศวงฉายอยู่ในดวงตาคู่สีดำสนิทรรแองจี้ก่อนที่จะเลี่ยงไปตอบคำถามของลาร่า
"พ่อนักล่าสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่นั่นสุขสบายดีจ้ะ อีกสักเดี๋ยวกลุ่มนักล่าสัตว์เขาก็คงจะกลับมากันหรอก เธอดูเอาเองก็แล้วกันตอนนี้ใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้วนี่ และบ๊อบเขาก็มีนาฬิกปสุก
อยู่ที่ท้องทั้งเวลาอาหารเข้า อาหารกลางวัน อาหารค่ำ เชียวละ" และดูราวกับถึงคิว เพราะพอพูดจบ รถจี๊ปคันแรกของขบวนล่าสัตว์ก็ปรากฎขึ้นในสายตา"นั่นไงฉันว่าแล้วไหมล่ะ?" แองจี้หัวเราะเมื่อแอบมองสามีของเธอที่นั่งอยู่ในตอนหน้าคู่กับพรานนำทาง
เสียงเอะอะดังขึ้นจากบรรดานักล่าสัตว์ทั้งหลายที่โผล่มาจากทุกทิศทางในบริเวณนั้น คือสัญญาณของความตื่นเต้นในยามเช้าจนถึงตอนเที่ยงที่ต่างก็ได้ไปประสบกันมา แองจี้กับลาร่าซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงสองคนในจำนวนนั้น จำต้องรับฟังความตื่นเต้นจากการผจญภัยที่นักล่าสัตว์แต่ละคนเล่าให้ฟังด้วย
ตลอดเวลาที่ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่นั้นทั้งสองสาวได้พูดคุยกันเฉพาะแต่ในเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับชีวิตของตนเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วดูเหมือนพวกผู้ชายจะผูกขาดการพูดคุยไว้เสียหมด ซึ่งลาร่าก็ไม่ได้ขัดข้อง เธอเฝ้าแต่มองใบหน้าที่อาบสุขของเพื่อนสาวในทุกครั้งที่หันไปมองสามี ภาทนั้นดูราวจะทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจที่เต็มไปด้วยความเจ็บซ้ำชมชื่น
ขณะที่นั่งอยู่บนโซฟาเบาะหนังสีดำในห้องโถงกลางสายตาของเธอจับจ้องอยู่แต่กับเปลวไฟที่แลบเลียท่อนไม้อยู่ในเตาผิงขนาดใหญ่ ใจคอหดหู่ไม่ได้สนใจกับบรรตานักล่าสัตว์ทั้งหลายที่เตรียมตัวจะออกไปล่าสัตว์กันต่อในตอนบ่าย เคาะเถ้าบุหรี่ลงในที่เขี่ยอย่างใจลอย
มันเป็นห้องกว้างขวางที่แสนสบาย ที่รองรับหลังคาไว้คือคานลอยสร้างด้วยไม้ไซเปรสคลุมลงมาจนจรดผนังด้านใน มีหน้าต่างกรุกระจกโดยรอบเพื่อให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามา แต่ลาร่ากลับมิได้เห็นความงามตามธรรมชาติของห้องนี้
"เอาละลาร่า เธอจะเล่าให้ฉันฟังได้หรือยังล่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น?"
เสียงของแองจี้ปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความคิดมองไปรอบๆ ห้องอย่างแปลกใจ ห้องทั้งห้องว่างเปล่า พวกนักล่าสัตว์ออกไปกันหมดแล้วเหลืออยู่แต่เพียงเธอและเพื่อนเท่านั้นและแองจี้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่กำลังชะโงกหน้ามามองสีหน้าบอกความเคร่งขรึมจริงจัง
ลาร่าสั่นศีรษะ กดบุหรี่ตับลงในที่เชี่ย
"ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงจะไร" เธอยิ้ม แสร้งทำสีหน้าไม่รู้ไม่ขี้
"เธอรู้" เพื่อนสาวตอบอย่างอดกลั้น "แล้วฉันก็อยากรู้ด้วยว่า มันเกิดอะไรขึ้น เธอถึงได้เปลี่ยนไปอย่างนี้"
"ฉันไม่เห็นจะเปลี่ยนตรงไหนเลย" คาร่าทักท้วงเมื่อไม่มีอะไรจะใช้บังคับมือให้หายสั่นสะท้านได้ เธอจึงเอื้อมไปหยิบบุหรี่ในซองที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือไว้
"ไม่เปลี่ยน..." เพื่อนสาวทำเสียงหมั่นไส้ "เพราะงั้นลาร่าเมื่อสองปีก่อน ที่ใครชวนให้สูบบุหรี่แม้แต่ในบาร์เท่าไหร่ก็ไม่สูบ ต้องกลายมาเป็นคนสูบชนิดมวนต่อมวนอย่างนี้"
"การสูบบุหรี่น่ะไม่ใช่อาชญากรรมนะจ๊ะ มันอาจจะทำให้สุขภาพเสื่อมแต่ไม่ใช่อาชญากรรมแน่" เธอวางซองที่ถืออยู่ในมือลง ไม่ยอมสบตาเพื่อน
"แล้วเธอก็เยกลายเป็นคนชอบแก้ตัวด้วย ไอ้ความเป็นคนเปิดเผยที่ฉันเคยเห็นน่ะหายไปหมดแล้ว ถ้าลองฉันถามเกี่ยวเข้าไปในเรื่องส่วนตัวเมื่อไหร่ละก้อ เธอต้องเลี่ยงไปเสียทุกครั้งแล้วจะให้อธิบายว่ายังไงล่ะ ไหนดอบมาให้ฟังหน่อยสิ" แองจี้เปล่งเสียงหัวเราะทั้งที่ไม่เห็นขัน "รู้สึกว่าพยายามปิดปากเงียบไม่ยอมบอกให้รู้อะไรกันบ้างเลยนะ ฉันน่ะพูดอยู่ตลอดเวลาว่าบ๊อบน่ะทำยังงั้น ทำยัง แต่เธอไม่ยอมเอ่ยชื่อเทรเวอร์เลยนี่บอกหน่อยเถอะน่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น?"
ลาร่ามองดูนิ้วที่บิดไปมาของตัวเอง
“มันก็เป็นปรากฎการณ์ในชีวิตแต่งงานธรรมดาๆเท่านั้น"เธอตอบเสียงหนักๆ ราวจะไม่แยแส "เธอจำไม่ได้หรอกหรือที่เขาว่ากันว่า น้ำผึ้งพระจันทร์น่ะมันหมดหวานแล้ว"
"มันไม่ใช่จะพูดง่ายๆ แค่นั้นหรอกนำ" ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำของเพื่อนสาวส่ายอย่างไม่เห็นด้วย "เมื่อวันแต่งงานน่ะ เธอเป็นเจ้าสาวแสนสวยที่มีความสุขอย่างที่ฉันไม่เห็นเลย เพราะฉะนั้น มันจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเธอเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้แน่"
ลาร่านวดนิ้วอยู่กับหน้าผาก ความปวดร้าวเริ่มแผ่กระจายไปทั่ว
"มันก็เป็นได้ที่ตอนนั้นฉันเคยมีความสุข แต่มาถึงวันนี้ก็จำไม่ได้แล้ว" เธอถอนหายใจเบาๆ "ตอนนั้นฉันมันโง่หน้ามืดตามัวอย่างที่สุด อยู่ในโลกแห่งความเพ้อฝัน รักๆ ใคร่ๆ กับเจ้าชายทรงเสน่ห์ร่างสูงๆ ผิวคล้ำๆ ก็เท่านั้น..."
"เทรเวอร์เขา..." แองจื้ออกจะลังเลใจที่จะถาม "เขา...ไม่ได้รักเธองั้นหรือ?"
"อ๋อ...รักสิ"ริมฝีปากของลาร่าบิดเป็นรอยยิ้มราวจะเยาะ "ฉันน่ะชื่อ ลาร่า อเล็กซานเดอร์นะ แล้วเขาก็ยังรัก จูลี่, แอนน์ คอนนี่...เขารักทุกคนนั่นแหละไม่ว่าจะชื่ออะไร แต่เพราะฉันเป็นลาร่า อเล็กซานเดอร์ เขาถึงได้แต่งงานกับฉันไงล่ะ"
"นี่เธอแนใจหรือ...เอ้อ...ฉันหมายถึงเรื่องผู้หญิงคนอื่นน่ะ?"
"อ๋อ...แน่ที่สุด" เธอสูดลมหายใจลึก เม้มปากสนิท มันไม่ใช่ความขมขี่นเจ็บปวดอีกแล้วที่เกิดขึ้นในยามนี้ แต่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี "ฉันน่ะแน่ใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เรื่องผู้หญิงอื่นน่ะ"