บทที่ 4
เพื่อนสาวทาบมือลง จับนิ้วของเธอที่วางอยู่บนตักไว้และดวงตาสีเขียวคู่นั้นก็สบเข้ากับดวงตาคมเข้มที่เปล่งแววเห็นใจของเพื่อน เพียงเต่ว่ามันไว้อารมณ์โดยสิ้นเชิง
"แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?" แองจี้ถามเกือบเป็นเสียงกระซิบ
"หลังจากแต่งงานได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ เทรเวอร์โทรศัพท์มาบอกที่บ้านตอนบ่ายวันหนึ่งว่า เขาจะต้องอยู่ค่ำ เพื่อทำรายงานตามที่พ่อต้องการให้เสร็จ ฉัน...ซึ่งใส่แว่นตาสึกุหลาบอยู่ในตอนนั้น เม็ดข้าวก็ยังติดอยู่บนหัวเลยเพราะเพิ่งแต่งานใหม่ๆ เกิดอยากจะทำอะไรให้เขาแปลกใจเล่นสักหน่อย จัดการเอาอาหารค่ำใส่กล่อง เหน็บแชมเปญไปด้วย ตรงไปหาเขาที่บริษัทเลย ด้วยหวังอย่างเต็มที่ว่คงจะได้เห็นเขานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน มีงานกองท่วมหัว แต่เธอรู้ไหมว่าฉันพบอะไร...เขากำลังเสพสำราญอยู่กับแม่เลขานุการผมบลอนด์อยู่พอดีเลย"
"ลาร่า...ฉันเสียใจด้วยจริงๆ" น้ำเสียงที่แสดงความเห็นใจนั้นเครียดเคร่ง "แล้วเขาพูดว่ายังไง? อธิบายอะไรหรือเปล่า?"
"ก็ไม่เห็นจะมีอะไรต้องอธิบายกันแล้วนี่ จริงไหม?" ลาร่าตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง"ฉันก็ออกจากบริษัทเดี๋ยวนั้นเลยเทรเวร์เขาก็รีบตามมาอย่างติดๆ คำอธิบายน่ะมีเป็นร้อยเป็นพันละ เราทะเลาะกันอย่างรุนแรงที่สุด ฉันน่ะร้องไห้เป็นวันๆ ตีอกชกหัวเลย อยากรู้นักว่าทำผิดตรงไหน ฉันเจ็บช้ำชมชื่นมากก็เลยคิดแก้แค้นเที่ยวมันกับผู้ชายทุกคนที่พบ อยากจะแก้แค้นให้มันหนำใจ ให้เขารู้จักกับความหึงเสียบ้าง"
"แล้วเขาสัญญากับเธอว่าจะเลิกทำตัวแบบนั้นหรือเปล่า?" แองจี้ชมวดคิ้วถาม
ลารำพยักหน้ารับเงียบๆ
"ในตอนแรกฉันเชื่อเขา" แววร้าวรานฉายชัดอยู่ในดวงตาเมื่อเงยหน้าขึ้นมองหน้าเพื่อนสาว "เธอจะต้องแปลกใจทีเดียวละ ว่าไอ้ความเจ็บใจน่ะมันลึกซึ้งขนาดไหนเมื่อเธอเลิกเชื่อถือในตัวสามีต่อไป ฉันค้นบัญชีค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเขาแล้วก็ให้บังเอิญไปพบใบเสร็จรับเงินค่าเช่าอพาร์ตเม้นท์ในแฮทดิสเบิร์กเข้า เป็นรังที่เขาเอาพวกอีหนูไปกก ที่จริงฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นักหรอก ว่าเขาจะยังใช้มันอีกหรือเปล่าหลังจากที่ใด้ให้คำมันสัญญาแล้ว ฉันก็เลยลองออกตามเขาไปไม่ให้รู้ตัว วันนั้นเขาบอกว่าจะไปพบเพื่อนที่เป็นทนายความเธอเชื่อไหมว่าทนายความคนนั้นน่ะเป็นคนเดียวกับแม่เลขานุการผมสีบลอนด์คนนั้น" ลาร่าจุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นอย่างไม่รู้ตัวอัดควันลึก "เท่าที่ฉันรู้นะ เขายังใช้อพาร์ตเม้นท์นั่นอยู่ เพียงแต่เอาผู้หญิงมานอนไม่ซ้ำหน้า ที่จริงเทรเวอร์เขาเป็นคนรอบคอบ
อยู่นะ สามารถรักษาสถานะในสังคมไว้ได้อย่างดี"
"แล้วพ่อเธอมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้างล่ะ? ฉันมองไม่เห็นเลยว่าท่านจะทนให้เขามาทำยังงี้กับเธอได้ยังไง"แองจี้บีบมือตัวเองแน่น
"แองจี้" ลาราหัวเราะด้วยน้ำเสียงว่างเปล่า "พ่อฉันน่ะเป็นบุคคลหัวสมัยวิคตอเรี่ยนโน่น สิ่งแรกที่ฉันได้รู้ก็ตอนที่พ่อฉันรู้ว่าเทรเวร์ทำลายชีวิตแต่งงานของเรา ฉันก็วิ่งไปร้องไห้คร่ำครวญกับพ่อ เธอรู้ไหมคำปลอบใจของพ่อน่ะยืดยาวทีเดียวละ พร้อมกับอธิบายด้วยว่า การที่ผู้ชายแอบหนีเมียไปทำอะไรพรรค์นั้นน่ะมันไม่ได้หมายความว่าเขาหมดรักในตัวเราเลย ที่ท่านพูดมาน่ะเกือบจะทำให้คิดไปว่าในฐานะที่ฉันเป็นสุภาพสตรีควรจะขอบใจด้วยซ้ำกับการที่เทรเวอร์ไม่ได้หวังใช้ความเป็นผู้ชายกับฉันเพียงคนเดียว"
“ตายจริง..."แองขี้อ้าปากค้างด้วยความไม่ "โอ...น่าขอบใจจริงที่บ๊อบมิได้คิดอย่างนั้น" เธอเอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้ไว้ "ที่จริง เมื่อพ่อของเธอได้รู้ว่าเขาทำกับเธอถึงท่านน่าจะให้คำแนะนำที่ดีมากกว่าจะยอมทนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนะ"
“พ่อมีความคิดอย่างคนหัวโบราณว่าฉันควรจะมีลูก"ลาร่าผุดลุดขึ้นยืน เดินอย่างไร้จุดหมายไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างกระจกบานเลื่อน "แล้วฉันเองก็บอกท่านไม่ได้ด้วยว่า ฉันกับเทรเวอร์น่ะไม่ได้นอนด้วยกันมาตั้งแต่วันที่ฉันจับได้ว่าเขาไปหัวพันกับแม่เลขาฯ คนนั้นแล้ว แค่คิดก็สะอิดสะเอียนเต็มทนแล้ว"
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องนั้นไว้ มีแต่เพียงเสียงท่อนไม้ประทุอยู่ในเปลวไฟ เสียงน้ำในลำธารแบล็ก ครีก ที่หัวเราะต่อกระซิกอยู่กับก้อนหินจากภายนอก เก้าอี้โยกซึ่งตั้งอยู่บนเฉลียงไหวตัวอยู่ด้วยแรงลม
"ลารำ แล้วนี่เธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ?" แองจี้ทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด "เธอคงจะไม่ทนอยู่กับชีวิตแต่งงานแบบนี้แน่ใช้ไหม?"
ลาร่าเบือนสายตาจากทิวทัศน์แสนสงบภายนอกกลับมkมองเพื่อน สีหน้าสงบนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงด้วยผลอารมณ์หรือเรื่องที่เพิ่งเลำาให้เพื่อนฟังเลยแม้แต่น้อย เวลาที่ผ่านไป ได้พาเธอมาถึงจุดที่เกือบจะไร้ความรู้สึกเจ็บซ้ำอีกต่อไปแล้ว
"เธอจำได้ไหมว่าเมื่อวันแต่งงาน ที่เธอก็ได้พบกับอาฉันคนหนึ่งที่ชื่อเบียทรีช...ที่มาจากกัลพีพอร์ทน่ะ?" ลาร่าถาม เมื่อแองจี้พยักหน้ารับอย่างแปลกใจ เธอก็พูดต่อว่า "เช้าวันแต่งานนั่นแหละ อาฉันที่ทำหน้าที่แทนแม่ ก็นั่งลงอบรมสั่งสอนถึงหลักประการหนึ่งที่เขาพูดย้ำแล้วย้ำอีกก็คือ ในประวัติศาสตร์ของตระกูลอเล็กซานเตอร์น่ะ ไม่เคยมีการหย่าร้างเกิดขึ้นเลย มันเป็นธรรมเนียมเสียแล้วที่เราต้องรักษาเกียรติยศไว้ ซึ่งเรื่องนี้รวมไปถึงพ่อด้วย ซึ่งข้อใหญ่ใจความแล้วอาตั้งใจพูดเลยว่า ถึงแม้จะหมดสิ้นความรักต่อกันแล้ว แต่ก็จะต้องอยู่ด้วยกันไปไม่ว่าฝ่ายหนึ่งฝายใดจะทำลายจิตใจกันและกันแค่ไหนก็ตาม"
"ไอ้เรื่องความจงรักภักดีต่อวงศ์ตระกูลน่ะมันเรื่องหนึ่งแต่นี่เธอทนมากเกินไปแล้วนี่ เธอจะมาทำร้ายชีวิตของตัวเองเพราะไอ้ความหัวโบราณของคนในตระกูลอย่างนั้นเรอะ"
"ฉันก็เห็นด้วยนะ" บุหรี่ในมือมอดไหม้ไปหมดแล้ว ลาร่าจึงจุดมวนใหม่ขึ้นพ่นควันเป็นทางยาว มองดูมันลอยล่องสลายตัวอยู่ในอากาศ "แต่ฉันยังมองไม่เห็นว่าทำไมจะต้องหย่า จริงอยู่ฉันไม่แคร์เทรเวร์ เวลานี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว มีแต่ชื่อเขาเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ร่วมชายคาบ้านกับฉันเท่านั้น ฉันไม่ได้รักเขาอีกต่อไป แต่ก็ไม่ได้เกลียด เพียงแต่ไมแคร์เขาเท่านั้น"
แองจี้ยกมือขึ้น ราวจะขอร้องให้ลาร่าทบทวนในสิ่งที่เธอพูดออกมาให้ดี
"แต่สักวันหนึ่งเธอก็จะต้องพบคนถูกใจ อยากแต่งงานอยากมีลูกกับเขานะ"
"ไม่ละ" แววสังเวชปรากฎขึ้นในควงตาคู่สีเขียว ลาร่ารู้ว่าเพื่อนของเธอกำลังมองชีวิตผ่านแว่นสีกุหลาบอย่างครั้งหนึ่งเธอเคยสวมมาก่อน "ฉันรู้ว่าที่ฉันพูดมานี่มันฟังเหลือเชื่อน่าหัวเราะเยาะสำหรับเธอ แต่อันเห็นจะไม่ก
"เธอพูดอย่างนั้นไม่ได้หรอก" แองจี้ถอนหายใจ "มันผิดธรรมชาติ"
"ฉันใช้ชีวิตโสดมาเกือบสองปีแล้ว ไม่เห็นจะยุ่งยากลำบากใจอะไรเลย" ลาร่ก้มลงมองแหวนเพชรน้ำงามในนิ้วมือข้างซ้าย "ไว้แหวนวงนี้มันเป็นเครื่องป้องกันไว้ถึงแม้จะถอดออกฉันก็ไม่มีวันจะหาผู้ชายคนไหนมาแทนอีกแล้ว เทรเวอร์ก็จะได้ทั้งหลักฐานทั้งเงินที่เขามีส่วนควรจะได้จากตระกูลอเล็กชาน
เดอร์...รวมทั้งพวกผู้หญิงของเขาด้วย...ส่วนฉันก็จะได้ใช้ชีวิตโสดตามใจต้องการ"
"นี่เธอจะให้ฉันเชื่อว่าเธอหมดความรู้สึกแล้วงั้นรึลาร่า?" แองจี้ถามเรียบๆ
"ความรู้สึกเรื่องผู้ชายใช่ไหมที่เธอหมายถึงน่ะ? ใช่...ฉันหมดความรู้สึกอย่างนั้นไปนานแล้ว ฉันได้ลิ้มรสของชีวิตคู่มาแล้วและมันก็ชมจนเหลือจะกลิ่นลงทีเดียวละ" ลารำตอบหนักแน่น
“มันไม่ได้สิ้นสุดแค่นี้หรอก" เพื่อนของเธอตอบเสียงเบาดวงตาวายแสงแห่งความเสียใจ
"แล้วเราจะได้เห็นกัน" ลาร่ายิ้มอย่างมั่นใจ