๑.๖ คน(เคย)นอกสายตา
“พอแล้วกุล แกจะจับผิดอะไรไอ้ตวงนักหนา” ปกรณ์เอ่ยห้ามอีกครั้ง ทั้งที่ใจก็นึกหวั่น กลัวว่าตระการตาจะมองอาจารย์คนใหม่อยู่จริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกปาร์ค ไอ้กุลมันก็แค่ถาม กินข้าวกันเหอะ หมูกรอบนี่ของโปรดแกใช่ป่ะ อ่ะเราให้” ว่าแล้วตระการตาก็จัดการตักหมูกรอบให้กับปกรณ์ หลังจากนั้นก็ตีเนียนตักนั่นตักนี่ในจานตัวเองให้เพื่อนคนอื่นๆ ส่วนตัวเองแทบจะไม่กินสักคำ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หิวไม่น้อย
ฝนตกลงมาราวกับฟ้ารั่วในช่วงเวลาห้าโมงเย็น ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาเรื่องรถติด ในยามที่ผู้คนกำลังเลิกงานและเดินทางกลับบ้านเช่นนี้ยิ่งมากขึ้น แท็กซี่ที่ปกติวิ่งกันอยู่ขวักไขว่กลายเป็นของหายากในทันที ไม่ใช่ผู้โดยสารที่เป็นผู้เลือก แต่เวลานี้คนขับแท็กซี่กลับเป็นผู้มีสิทธิ์เลือก ว่าจะรับหรือไม่รับผู้โดยสาร แม้จะมีมาตรการจากทางผู้ประกอบการและภาครัฐมาช่วย แต่ปัญหาก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ
สามสาวหนึ่งหนุ่มที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา เดินออกจากโรงหนังพร้อมกับคนอื่นๆ ที่ดูหนังรอบเดียวกัน เสียงวิจารณ์ถึงความสนุกและความประทับใจดังเจื้อยแจ้ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงของความกังวลเมื่อรู้ว่าตอนนี้ฝนกำลังตกอย่างหนัก
“เอ๊า...ฝนตกหนักซะงั้น แท็กซี่คงหายากเป็นบ้า เซ็งเลย” อินทุอรบ่นอุบพร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ เพราะตั้งใจว่าจะนั่งแท็กซี่กลับกับกุลจิราซึ่งบ้านอยู่ทางเดียวกัน แต่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแท็กซี่คงไม่ได้โบกง่ายๆ เหมือนยามปกติ
“เดี๋ยวเราไปส่งอินกับกุลเอง” ตระการตาบอกอย่างเห็นใจเพื่อนทั้งสอง
“บ้านแกอยู่คนละทางกับบ้านเรานะตวง อย่าดีกว่าลำบากแกเปล่าๆ” อินทุอรซาบซึ้ง แต่ก็ปฏิเสธน้ำใจ เพราะสงสารตระการตาเหมือนกัน
“ตวงกลับเหอะ เดี๋ยวเราไปส่งอินกับกุลให้เอง ไม่ต้องห่วง” คราวนี้ปกรณ์เอ่ยอาสา ทั้งไม่อยากให้ตระการตาลำบากและด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ แม้ว่าบ้านเขาเองจะอยู่คนละทางกับสองสาวเช่นกันก็ตาม
“งั้นขอบใจแกมากนะปาร์ค” ตระการตาขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งแค่นั้นก็ทำเอาปกรณ์ปลื้มจนต้องเผลอยิ้มตามแล้ว
“ขอบใจทำไม เพื่อนกัน มากกว่านี้ก็ให้ได้”
“ซึ้งว่ะ มีเพื่อนดีมันก็ดีแบบนี้เนอะ” กุลจิรายกมือสองข้างขึ้นเสมออก แล้วมองหน้าปกรณ์กับตระการตาสลับกันพลางกะพริบตาปริบๆ แบบคนกำลังซาบซึ้งจริงๆ
“นั่นอาจารย์อชิระนี่” อินทุอรพึมพำเมื่อเห็นร่างสูงของเจ้าของชื่อกำลังเดินใกล้เข้ามา ในมือของเขาถือถุงผ้าใบใหญ่หนึ่งใบ กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อและดูดีของเจ้าตัวลดลงแต่อย่างใด
“สวัสดีค่ะอาจารย์” อินทุอรกับกุลจิราเอ่ยทักพร้อมกับยกมือไหว้ ปกรณ์ยกมือไหว้อย่างเดียว ส่วนตระการตายังคงยืนเฉย
“สวัสดีครับ นี่พวกคุณมาทำอะไรกัน” อาจารย์หนุ่มทักทายลูกศิษย์ตอบ
“พวกหนูมาดูหนังค่ะ กำลังจะกลับพอดี แล้วอาจารย์ล่ะคะ” คนตอบคือกุลจิราซึ่งธรรมชาติเป็นคนพูดเก่ง และไม่เคอะเขินเวลาคุยกับผู้ใหญ่
“ผมมาซื้อของน่ะ กำลังจะกลับเหมือนกัน”
“แล้วอาจารย์กลับยังไงคะ อาจารย์ขับรถมาเองหรือเปล่า” กุลจิราถามต่อแบบเป็นการชวนคุยมากกว่า ด้วยคิดว่าอาจารย์อชิระน่าจะขับรถมาเอง
“ผมว่าจะกลับแท็กซี่น่ะ ผมยังไม่มีรถเป็นของตัวเองหรอก เมื่อเช้าตอนมามหาวิทยาลัยก็มากับพ่อ”
เป็นคำตอบที่ทำให้ทุกคนค่อนข้างแปลกใจ ยกเว้นตระการตาคนเดียวที่พอจะรู้ว่าฐานะทางบ้าน และวิถีการใช้ชีวิตของครอบครัวนี้ดี ว่าอยู่อย่างสมถะพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เธอจึงไม่แปลกใจเมื่อได้ยินอชิระบอกว่ายังไม่มีรถเป็นของตัวเอง
“ไม่ไหวมั้งคะอาจารย์ อาจารย์คงไปอยู่เมืองนอกนาน เลยไม่รู้ว่าเวลาฝนตกหนักๆ แบบนี้ แท็กซี่หายากยิ่งกว่าหาทองฟรีอีกค่ะ”
“เอางี้มั้ยคะ อาจารย์กลับกับตวงก็ได้ เห็นตวงบอกว่าบ้านตวงกับบ้านอาจารย์อยู่ใกล้ๆ กันนี่” คราวนี้คนเสนอความคิดคืออินทุอร ทำให้ทุกคนต่างหันไปมองตระการตาในทันที คนถูกมองทำหน้าเหลอหลา เพราะไม่คิดว่าจู่ๆ จะต้องมาตกกระไดพลอยโจนแบบนี้
“นะตวง” กุลจิราทำเสียงอ้อนๆ ใส่ เป็นการขอร้องแกมบังคับ ซึ่งถ้าตระการตาปฏิเสธ เธอคงเป็นคนที่ดูแย่มากในสายตาเพื่อนๆ
“อือ” ตระการตารับคำสั้นๆ หน้านิ่งๆ แต่แววตาฉายแววบางอย่างที่คนมองบางคนรู้ดี
“งั้นแยกย้ายกันตรงนี้นะ พวกเราไปก่อนนะคะอาจารย์” สามคนที่จะไปทางเดียวกันยกมือขึ้นไหว้อชิระ ก่อนจะโบกมือลาตระการตา “ไปนะตวง พรุ่งนี้เจอกัน”