9
“คุณหมายความว่ายังไง และฉันพูดกับแม่คุณเรื่องอะไร”
“ผมคิดว่าคุณรู้ดีนะ ว่าผมหมายถึงอะไร”
“ฉันไม่รู้ มันเรื่องอะไร ฉันพูดอะไรกับแม่คุณตั้งหลายเรื่อง จนจำไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ผมจะพยายามเชื่อก็แล้วกันนะ! ว่าคุณไม่ได้บอกคุณแม่ไปว่าอยากเป็นเมียน้อย หรือไม่ก็เป็นสะใภ้ใหญ่ของท่าน นี่ใช่มั้ยคือความต้องการสูงสุดเพื่อชดเชยกับชีวิตพ่อคุณน่ะ”
มัสยายืนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ว่าวันนี้สวนกลับแม่กับน้องเขาไปเรื่องอะไรบ้าง แล้วเรื่องที่พูดออกมาด้วยอารมณ์โกรธก็เข้ามาอยู่ในความทรงจำทันที
“ฉันพูดไปก็เพราะโกรธที่แม่กับน้องคุณมาดูถูกเรา มันไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น”
“คุณจะให้ผมเชื่อใครดีล่ะ ระหว่างแม่และน้องตัวเองซึ่งผมรู้จักมาตลอดชีวิต กับคุณ ซึ่งจนบัดนี้ ผมกล้าบอกตรงๆ ว่าแทบไม่รู้จักด้วยซ้ำ”
เขมินท์ท์ทำเสียงหยันนิดๆ ขณะก้าวเข้าไปหาคนตรงหน้าช้าๆ
“นั่นก็แล้วแต่คุณ ฉันบังคับไม่ได้ แต่ที่บอกคุณได้ตอนนี้ก็คือ ฉันไม่ได้คิดอยากจะเกี่ยวพันอะไรกับพ่อคุณ หรือตัวคุณด้วยซ้ำ และคุณคงจะรู้นะว่าทำไม”
“เพราะคุณเกลียดพวกเราอย่างนั้นน่ะเหรอ”
มัสยาไม่อยากตอบอะไรออกไป เพราะมันไม่ใช่ความจริงซะทั้งหมด จึงเพียงแค่ยืนนิ่ง จ้องมองเขาเท่านั้น และนั่นทำให้เขาเข้าใจไปอีกแบบ
“เงียบ! ผมจะแปลว่าคุณยอมรับ”
มัสยายังคงไม่ตอบอะไรนอกจากอึ้งกับท่าทีคุกคามของเขา เขายักไหล่แล้วจ้องมองเธอโดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ
“แต่ที่ผมไม่เข้าใจคืออะไรคุณรู้มั้ย”
“อะไรคะ”
มัสยาถามเสียงห้วนกว่าปกติ
“คุณจะเป็นเมียน้อย หรือเป็นสะใภ้แม่ผมได้ยังไง ถ้าคุณเกลียดพวกเราขนาดนั้น คุณจะยอมมีอะไรกับผู้ชายที่คุณเกลียดได้เหรอ หรือเพื่อเงินคุณยอมได้ทั้งนั้น นั่นเหมารวมได้หรือเปล่าว่าคุณก็ไม่ได้ดีเด่ต่างจากแม่กับน้องคุณเลยสักนิดเดียว หรืออาจจะหนักกว่าตรงที่เป้าหมายคุณสูงกว่าพวกเขามาก หรือว่าทั้งหมดนี้คือแผนการที่พวกคุณร่วมกันวางเอาไว้กันแน่ ผมล่ะเชื่อจริงๆ เลย เชื่อที่พวกคุณไม่รู้จักคำว่าพอ ไม่ว่าพวกเราจะทูนหัวให้เท่าไหร่ พวกคุณก็ยังคงทำตัวสมกับแม่ผมบอกว่าเป็นพวกริ้นไรตามดูดพะ...”
เผียะ
มัสยาทนฟังคำดูถูกถากถางจากเขาอีกต่อไปไม่ได้ จนต้องฟาดมือลงไปที่ใบหน้าขาวของเขาสุดแรงเกิด ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งไปหาราวอยากฉีกเลือดเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ เพราะความโกรธถ้าทำได้
“อย่ามาดูถูกฉันอีก! ฉันขอบอกคุณไว้ตรงนี้ว่า ฉันไม่เคยคิดอยากได้ตำแหน่งอะไรในบ้านคุณทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเมียน้อยแม่คุณ หรือว่าเมียคุณ เพราะฉันเกลียดคุณ เกลียดพวกคุณทุกคน และถ้าทำได้ฉันคงจะสั่งแม่กับน้องไม่ให้ไปยุ่งกับพวกคุณนานแล้ว จะได้ไม่ต้องมาทนให้พวกคุณดูถูกเหยียดหยามอยู่แบบนี้หรอก”
“คุณน่ะเหรอเกลียดผม!”
เจ้าของแก้มยกมือขึ้นลูบ ดวงตาจ้องมองไปยังเจ้าของมือเขม็ง
“ใช่!”
คนอีกคนก็ตอบโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
“งั้นเหรอ! แต่ที่ผมเห็นเมื่อบ่ายนี้มันห่างไกลกับคำว่าเกลียดมากเลยนะ เพราะคุณพยายามจูบตอบผม! ยั่วผม! หรือนั่นคือแผนที่จะทำให้คุณได้เป็นสะใภ้ใหญ่ของคุณแม่กันแน่ แต่โชคไม่ดีมีคนมาขัดจังหวะ แผนคุณก็เลยล่มไม่เป็นท่า จนต้องสั่งให้น้องจัดการส่งกุญแจบ้านให้ผม เพื่อผมจะได้ตามมาเป็นเหยื่อให้คุณยั่วอารมณ์ต่อไงล่ะ เพราะห้องผมคงไม่เอื้อให้ทำอะไรเกินเลยสักเท่าไหร่ ไหนจะสู้บ้านคุณกันล่ะ พอคุณยั่วจนผมทนไม่ไหวแล้วปล่อยให้อะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้น คุณกับคนของคุณก็คงจะรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อสินะ แล้วแผนก็เข้าล๊อกพอดิบพอดี หรือคุณจะถะ...”
เผียะ
อีกครั้งที่หญิงสาวทนไม่ได้กับน้ำคำของเขา มือบางจึงฟาดลงไปตรงรอยเดิมเต็มๆ นั่นทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาถึงกับหันไปอีกทาง
เขายกมือขึ้นลูบแก้มด้วยความเจ็บแสบทั้งกายและใจ เพราะไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกผู้หญิงคนเดิมตบถึงสามครั้งในวันเดียว
“ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ แล้วกรุณาอย่ากลับมาอีก ฉันจะถือว่าไม่เคยได้ยินเรื่องที่คุณพูดมา ฉันขอย้ำให้คุณรู้เอาไว้ด้วยว่า ฉันไม่มีทางอยากได้ตำแหน่งบ้าๆ อะไรในบ้านคุณทั้งนั้น โดยเฉพาะตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของบ้าน เพราะฉันเกลียดคุณ เกลียดท่าทีดูถูกเหยียดหยามของคุณ เชิญ!”
มัสยาเดินเลี่ยงร่างสูงใหญ่ของเขาเพื่อหมายจะไปเปิดประตูให้ เพราะไม่อาจจะทนเห็นและทนฟังคำดูถูกถากถางจากเขาได้อีกต่อไปแล้ว แต่เขาหรือจะยอมง่ายๆ
ในเมื่อโกรธเพราะถูกตบถึงหน้าสามหนเข้าให้แล้ว เลยรีบคว้าร่างผอมบางเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวซี๊!”
“เอ๊ะ! ฉันบอกให้คุณกลับไปไง บ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณ”
สองแขนพยายามผลักเขาให้ออกห่างตัวด้วยความโกรธและเกลียดเขาอย่างที่สุด แต่เขากลับไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้น ด้วยการรั้งร่างผอมเข้ามาหาจนใบหน้าห่างกันไม่ถึงสองนิ้ว
“ถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อว่าไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น งั้นคุณก็ต้องพิสูจน์ว่าคำพูดคุณน่าเชื่อถือมากแค่ไหน”
“นี่! คุณจะทำอะไร! อย่านะ...”
“ผมจะทำอะไรน่ะเหรอ! ผมก็จะดูว่าการกระทำกับคำพูดของคุณมันตรงกันหรือเปล่าไง ถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อแล้วเลิกดูถูกคุณกับคนของคุณ ก็ต้องมาดูกันว่าพรุ่งนี้คุณจะทำยังไงหลังจากที่เรามีอะไรกันแล้วไง”
“ไม่นะ! คุณจะทำกับฉันอย่างนี้มะ...”
มัสยาพยายามอย่างที่สุดเพื่อจะหนีจากวงแขนแข็งราวปลอกเหล็กของเขาให้ได้ แต่ดูเหมือนจะสายไปแล้ว เพราะเขาช่างเคลื่อนตัวคล่องแคล่วว่องไว ตรงข้ามกับบุคคลิกทั่วไปของเขาคนละเรื่อง