บทย่อ
นายแพทย์เมธี พัฒนาธรสกุล ได้พาตัวเองและครอบครัว ถูกพันธนาการด้วยตรวนบาปกับครอบครัวศรีสมบูรณ์ จนไม่อาจจะปลดปล่อยให้หลุดพ้นได้ *** ซ้ำร้ายไปกว่านั้น นายแพทย์เขมินท์ พัฒนาธรสกุล ลูกชายคนโตของตระกูล *** กลับทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงกว่าที่เป็น ด้วยการสร้างตรวนบาปใหม่ขึ้นมา *** และยิ่งเป็นตรวนแห่งเสน่หาด้วยแล้ว ใยเลยที่เขากับครอบครัวจะพาตัวเองให้เป็นอิสระได้ ปรียา ศรีสมบูรณ์ ผู้ไม่คิดจะหยิบยื่นตรวนให้ใคร แต่เมื่อได้สูญเสียแล้ว ใยเลยจะปล่อยให้ตัวเองและครอบครัวยุ่งยาก หม้ายสาวจึงไม่คิดจะปลดตรวนบาปให้ใครง่ายๆ *** สถานการณ์ของตัวเองยิ่งเป็นต่อ เมื่อ มัสยา ศรีสมบูรณ์ ลูกชายคนโตของบ้าน *** ถูกดึงเข้าไปอยู่ในเกมที่ทำให้อีกฝ่ายย่ำแย่ขึ้นกว่าเดิม นั่นเป็นโอกาสให้หม้ายสาวมีอำนาจต่อรองมากขึ้น *** แต่มัสยากลับไม่ปรารถนาจะล่ามเขาไว้ ในเมื่อเขาไม่ได้มีใจ ใยเลยที่เธอจะต้องจองจำเขาให้ตัวเองเจ็บช้ำใจไปเปล่าๆ ***
1
ทาวน์เฮ้าส์สองชั้นหลังกระทัดรัด ในเนื้อที่ยี่สิบสามตารางวา ปลูกเรียงกันเป็นแถว หันหน้าเข้าหากัน มีถนนคอนกรีตกว้างสีเมตรคั่งกลางเอาไว้
ลึกเข้าไปหลายซอย จะเป็นโซนบ้านเดี๋ยวชั้นเดียวในเนื้อที่เจ็ดสิบตารางวาไปหาสองร้อยตารางวา บ่งบอกว่าเจ้าของมีระดับขึ้นไปอีกขั้น
“ยะเอ้ย! ขนถุงขนมมาเร็วๆ สิลูก เดี๋ยวจะไปส่งร้านไม่ทันนะ”
สิงหา ศรีสมบูรณ์ ด้วยมือทั้งสองข้างมีถุงหิ้วใบใหญ่ด้านในใส่ขนมถุงเล็กๆ ไว้ เดินออกจากบ้านตรงไปหากระโปรงหลังรถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่แล้วเอาขนมใส่ลงไปอย่างคนใจเย็น
ปากนั้นตะโกนบอกลูกที่ยังขลุกอยู่ด้านในไปด้วย
“หยาเอามาให้พ่อเร็วลูก เราต้องออกแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันนัด” แล้วมองไปลูกสาวแสนสวยวัยยี่สิบปี มีชุดนักศึกษาหุ้มกายและหิ้วถุงใบโตเดินตามพ่อมาไม่ห่าง
“เดี๋ยวพ่อ หยายังไม่เสร็จเลย”
มัสยา ศรีสมบูรณ์ หยุดตรงประตูบ้าน แล้วใช้เท้าขาวบางเขี่ยรองเท้าจากชั้นให้ตกลงมาพื้นเพื่อหมายจะใส่ เพราะมือไม่ว่าง คนเป็นพ่อเห็นเลยต้องรีบตรงไปหยิบมาวางให้ลูกอย่างเป็นระเบียบ ประหนึ่งลูกยังเป็นเด็กน้อยก็ไม่ปาน
“เอามาให้พ่อดีกว่า แล้วกระเป๋ากับหนังสือหยาอยู่ไหนล่ะ” แล้วยังแย่งถุงทั้งสองจากมือลูกไปหิ้วไว้เองอีกต่างหาก
“ตายจริง! หยาลืมเลยค่ะ”
มัสยาต้องสลัดรองเท้าออกแล้วรีบวิ่งเข้าบ้านไปอีกรอบ กลับออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมของในมือ พ่อนั้นยืนส่ายหน้าน้อยๆ ให้ลูกอยู่กระโปรงหลัง มองลูกด้วยความรักและเอ็นดูยิ่ง
“พี่ไปก่อนเลยไป๊! เดี๋ยวแม่ไปเร่งลูกเอง”
ปรียา ศรีสมบูรณ์ หิ้วถุงขนมใบโตมาด้วยมือทั้งสองข้าง บอกคนเป็นสามีที่กำลังจะเข้าไปในรถ ลูกสาวก็กำลังจะทำแบบเดียวกัน จากนั้นก็ยกมือไหว้แม่
“แม่! หยาไปนะหวัดดีค่ะ”
แล้วเข้าไปนั่งคู่กับพ่อ ที่กำลังลดกระจกลงไปหาภรรยาคนสวย “เดี๋ยวเย็นพี่จะซื้ออาหารทะเลมานะ อย่าเพิ่งทำกับข้าวล่ะ”
“จ้ะพี่”
ปรียาโบกมือให้สามีกับลูกสาวแล้วเอาถุงขนมไปวางบนอานมอเตอร์ไซคล์ ส่วนสองพ่อลูกนั้น รถแล่นช้าๆ ออกพ้นประตูบ้านไปแล้ว ระหว่างทางก็แวะร้านขนมเพื่อเอาไปส่ง จากนั้นก็ตรงไปจอดให้ลูกสาวลงตรงหน้ามหาวิทยาลัย
“เอานี่ไว้ใช้นะหยา แต่ไม่ต้องบอกแม่กับยะล่ะ ถือว่าพ่อให้พิเศษค่าทำงานบ้าน ทำอาหารนะ”
สิงหาส่งแบงค์สีม่วงให้ลูก
“ขอบคุณค่ะพ่อ หยารักพ่อที่สุดเลย”
ส่วนลูกนั้นก็รับมาถือไว้ แล้วโน้นตัวไปสวมกอดพ่อ หอมแก้มพ่อข้างซ้ายทีขวาที ไม่ต่างจากสมัยที่ตัวเองยังเด็กสักนิด ทั้งที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสองแล้ว
“พ่อก็รักหยาจ้ะ ปะ! รีบไปเดี๋ยวพ่อไม่ทันนัดเจ้านาย”
ผู้พ่อส่งมือลูบกลุ่มผมลูกด้วยความรักไม่แพ้กัน
“หวัดดีค่ะพ่อ”
ลูกยกมือไหว้พ่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกครั้ง ส่วนพ่อก็ยิ้มให้ลูกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นกัน ตาก็จ้องมองร่างเล็กๆ ของลูกออกจากรถไปยืนอยู่ข้างประตู
“หวัดดีจ้ะ ตั้งใจเรียนนะ เดี๋ยวถ้าพ่อเสร็จธุระกับเจ้านายไว พ่อจะแวะมารับกลับบ้านพร้อมกัน จะได้ไปกินต้มยำกุ้งกับหมึกย่างไงล่ะ”
“ค่ะพ่อ”
ลูกสาวยกมือโบกลาพ่อ แล้วยืนรอจนพ่อขับรถออกไปจนลับตาถึงได้หันหน้าเข้าประตูมหาวิทยาลัยไป
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด!
มัสยาควานหามือถือมารับหลังเดินออกจากห้องเรียนได้ไม่กี่ก้าว “พี่หยาอยู่ไหน! แม่โทรตั้งหลายครั้งทำไมไม่รับสาย!”
ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเสียงน้องชายแทรกเข้ามาก่อน
“พี่ปิดเครื่องไว้น่ะ กำลังเรียนอาจารย์ไม่ให้เปิดมือถือ มีอะไรเหรอ เสียงตื่นเต้นเชียว”
“พี่หยา! พ่อ! พ่อ!”
“พ่อเป็นอะไรเหรอยะ!”
เพราะน้องชายเสียงสั่นเหมือนคนร้องไห้ เสียงผู้คนรอบกายที่น้องโทรมาก็ดังวุ่นวายไปหมด ฟังไม่ได้ศัพท์
“พ่อถูกรถชน ตอนนี้เขาเอาพ่อไปไว้ที่โรงพยาบาลระยอง”
“ห๊า! แล้วพ่อเป็นอะไรมากไหมยะ” หญิงสาวยืนตาค้างด้วยความตกใจ และภาวนาขออย่าให้พ่อเป็นอะไรมาก
“ยังไม่รู้พี่! รีบๆ เก็บของแล้วมารออยู่แถวๆ หน้าวิท’ลัยนะ พอดีที่ทำงานพ่อกำลังให้คนขับรถมารับยะกับแม่อยู่ แล้วจะแวะรับพี่หยาแล้วก็ไปกันเลย”
“ได้ๆ พี่จะได้ไปลาอาจารย์คาบที่กำลังจะเข้าเรียนด้วย แล้วเจอกันนะ”
มัสยาพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ ไม่ให้เสียใจไม่ให้ร้องไห้ แล้วรีบเดินไปหาอาจารย์ที่ห้อง ก็ไม่เจอ เลยไปดูที่ห้องเรียน
“งั้นมัสยาค่อยมาพรีเซ็นท์งานกับอาจารย์วันอื่นก็แล้วกันนะ ขอให้พ่ออย่าเป็นอะไรมาก”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์”
หญิงสาวไหว้ลาอาจารย์ด้วยท่าทีนอบน้อม แล้วรีบเดินออกจากห้อง สวนกับเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ ที่กำลังเดินเข้ามา แต่ก็ไม่ได้หันไปทักทายเพื่อนเพราะรีบไปหาที่นั่งรอน้องกับแม่
ราวครึ่งชั่วโมงรถก็แล่นมารับแล้ว มัสยาเห็นแม่ตาแดง คงเพราะร้องไห้ไปไม่นาน หน้าก็ซีดเผือด นั่นก็เพราะห่วงพ่อ ตัวเองกับน้องก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก ระยะเวลาที่เดินทางไประยองนั้น รู้สึกเหมือนว่ายาวนานกว่าครั้งไหนๆ ก็ว่าได้
คนขับรถที่มัสยารู้มาจากการกระซิบบอกของน้องว่าเป็นพนักงานในบริษัทนั้น ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาเลย นอกจากขับรถไปเรื่อยๆ หรืออาจจะเป็นเพราะสามแม่ลูกไม่มีใครเอ่ยปากอะไรออกมาด้วยเช่นกัน เขาถึงได้เงียบ
“รอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมเอารถไปจอดก่อนแล้วจะพาไป”
จะเอ่ยก็ตอนส่งทั้งสามจะลงจากรถแล้วเท่านั้น แล้วรีบออกรถลงจากทางลาดหน้าตึกไป ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็เดินกลับมา
“ไปทางนี้กันครับ”
มัสยากับน้องชายจูงมือแม่คนละข้าง เดินตามชายที่ไม่เคยได้เห็นหน้ามาก่อน ไปตามทางเดินเล็กๆ มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาไม่ขายสาย และอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเขาไม่พาไปห้องฉุกเฉิน หรือห้องไอซียูที่พ่อควรจะรักษาตัวอยู่ในนั้น
“นี่บอสพวกเราครับพี่”
ชายผู้นำทางหันมาหาปรียา เมื่อเดินมาถึงห้องที่มีป้ายเขียนไว้ตัวเบ่อเร่อว่า ห้องดับจิต แทบไม่ต้องรอให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าที่ถูกเรียกว่าบอสบอกแต่อย่างใด ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่า
“พี่สิงห์!/พ่อ!”
ปรียาร้องไห้โฮออกมา ตั้งแต่ยังไม่เห็นศพของสามีอันเป็นที่รักแล้ว และไม่ได้สนใจกับสองชายตัวใหญ่เสื้อผ้าที่สวมใส่เปื้อนเลือดกำลังเดินตรงมาหา เพราะรีบก้าวขาตรงไปยังห้องพร้อมลูกทั้งสอง
และทันทีที่ประตูตู้สแตนเลสถูกเปิดออก
“พี่สิงห์! ไม่นะ! ไม่ๆๆ ไม๊!”
สิ้นเสียงร้อง ปรียาก็ทรุดฮวบลงตรงนั้น ยังผลให้ลูกสาวกับลูกชาย พร้อมชายแปลกหน้าทั้งสี่ที่อยู่ตรงประตู ต้องรีบวิ่งเข้าไปช่วยกันประคองออกไปข้างนอกก่อน
“พ่อ!”
ทิ้งให้สองพี่น้องยืนกอดร่างที่ไร้วิญญาณของพ่อด้วยความเสียใจไว้ชั่วครู่