8
“อีแรด! อีร่าน! น้ำหน้าอย่างแกน่ะเหรอ จะได้เป็นเมียน้อยแม่ฉัน หรือเป็นพี่สะใภ้ฉัน ตายไปสักสิบชาติแกก็ไม่มีวันฉันจะบอกให้”
มัสยาไม่ได้สะทกสะท้านกับอีกฝ่ายนัก ตรงกันข้ามกลับยิ้มให้อย่างใจเย็น ก่อนจะต่อปากต่อคำด้วย
“งั้นเหรอคะ แต่เมื่อกี้พี่คุณไม่เห็นพูดแบบนี้เลยนะคะ เห็นทั้งกอดทั้งจูบทั้งลูบทั้งไล้ฉันใหญ่เลย แม๊! ไม่น่ารีบหนีออกมาเลย ฉันน่าจะปล่อยให้เขาทำอะไรต่อมิอะไรบนห้อง จะได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นพี่สะใภ้คุณเลยไง”
เมธาวีเจอแบบนี้เข้าถึงกับทนไม่ได้
“อีทุเรศ! อีหน้าด้าน! อีๆๆๆ”
“หยุดนะ! พวกคุณออกไปได้แล้ว อย่ามายุ่งอีก ไม่งั้นเราจะไปบอกนักข่าว ว่าพวกคุณดูถูกพวกเรายังไงมากแค่ไหน หลังจากที่ทำให้ผัวฉันตาย ไป๊!”
ปรียาทนเห็นลูกถูกด่าไม่ได้เลยร้องเสียงหลง แล้วก็ต้องงอตัวเพราะสะเทือนถึงแผล จนลูกต้องรีบพยุงให้นอนลงตามเดิม
“แม่!”
อารยะเข้ามาทันได้เห็นอาการของแม่พอดี เลยรีบย่างสามขุมไปหาสองแม่ลูก
“ออกไปจากห้องได้แล้ว ไม่งั้นผมจะโทรไปบอกผัวคุณว่าพวกคุณมาก่อกวน ไปนะ! ก่อนที่ผมจะโมโห ไป๊ซิ!”
“ฉันไปแน่! แล้วฉันจะส่งผัวฉันมาไสหัวพวกแกออกจากนี่ ไม่เชื่อคอยดู”
นวลปรางค์ไม่วายขู่ แม่จะกลัวว่าตัวจะถูกไอ้สลัมตบสักแค่ไหนก็ตาม จากนั้นก็รีบจูงมือลูกแล้ววิ่งออกจากห้องไปทันที
ทิ้งให้สามแม่ลูกต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“โหพี่หยา! เกิดมาไม่เคยเห็นพี่ออกโรงกับใครเลย นี่ถือเป็นขวัญตาของยะเลยนะเนี๊ยะ”
“นั่นสิยัยยา! ด่าคนเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ แต่ก็ดีนะ! ยอมมันมากไม่ดี มีแต่จะมาข่มเรา”
ทั้งแม่ทั้งน้องต่างไม่มีใครสนใจในถ้อยคำที่เผลอหลุดไป ในเรื่องที่ถูกกอดจูบลูบไล้เลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้โล่งใจไม่น้อย และบอกกับตัวเองว่า ต่อไปจะไม่น๊อตหลุดอีกแล้ว
เพราะไม่ได้ให้ผลดีอะไรกับใครเลย มีแต่จะทำให้ตัวเองค่าลดน้อยลงไปอีกต่างหาก
แต่หารู้ไม่ว่า ไม่เคยมีอะไรหรือคำพูดใดของลูกจะผ่านหูผู้แม่ไปเฉยๆ สักครั้ง รวมทั้งครั้งนี้ด้วย ความคิดบางอย่างโลดแล่นอยู่ในหัวของคนป่วยทันที
มัสยาออกจากสถานีรถไฟฟ้า แล้วใช้เวลาเดินด้วยเท้าราวสิบนาที ก็ถึงหน้าป้อมยามทางเข้าหมู่บ้านจัดสรร มีราวร้อยหลังคาเรือน และอีกสิบนาทีสำหรับเดินเข้าบ้าน
ด้วยวัยสาวกับความเคยชินเลยไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรมากมายนัก เพราะทำแบบนี้มาตั้งแต่เรียนปีสองกระทั่งจบและทำงานมาสามปีแล้ว
แม้ไม่ได้รักการเดินมากมายนัก แต่ก็ไม่อยากใช้รถในบ้าน ที่แม่ได้มาจากการเรียกร้องกับฝ่ายโน้นเอาเสียเลย เพราะเห็นสายตากับท่าทางของพวกเขาแล้ว
รู้ดีว่าเอือมกับการขอนั่นขอนี่ไม่หยุดหย่อนอย่างเห็นได้ชัด เธอเลยไม่อยากหยิบจับอะไรที่ผู้ให้ไม่ได้เต็มใจสักนิด
“ฉันไม่สนหรอก มันรวยจะตายไป รถแค่ไม่กี่แสนไม่ทำให้จนหรอก ถ้าพ่อแกยังอยู่ ป่านนี้อาจจะซื้อเบนซ์ให้ฉันขับไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้ แกอย่าไปสนใจนักเลย สิ่งที่ฉันเรียกร้องจากพวกมัน ชดเชยไม่ได้กับชีวิตผัวฉัน ชีวิตพ่อแกเลยสักนิดเดียว”
ตอนทักท้วง แม่สวนกลับมาแบบนี้ เธอเลยไม่อยากพูดอะไรอีก เพราะเข้าใจในหัวอกของแม่ ที่ต้องเสียสามีไปได้เป็นอย่างดี และก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายนั้นด้วย ว่าเบื่อแม่ยังไง
แต่ถ้าจะให้เทียบกันจริงๆ แล้ว เธอค่อนข้างเห็นใจแม่มากกว่า เพราะไม่ได้เสียอะไรนอกจากเงิน
เจ้าของใบหน้ารูปหัวใจมองสภาพข้างในบ้านแล้วให้เหนื่อยกว่าเดินจากปากซอยเข้ามาเสียอีก เพราะพ่อน้องชายทำเละไว้แทบทุกที่ ในครัวก็มีจานชาม หม้อไหยังไม่ได้ล้าง
เสื้อผ้าตลอดจนของใช้อื่นๆ วางระเกะระกะไปทั่ว แทบไม่ต้องเดาว่าห้องน้องจะมีสภาพยังไง
เมื่อทนเห็นอะไรรกๆ แบบนี้ไม่ได้ เลยต้องลงมือเก็บกวาดทันที เพราะตั้งแต่วันศุกร์จนถึงเย็นวันอาทิตย์ดูๆ แล้วบ้านยังไม่มีใครเก็บกวาดเลยด้วยซ้ำ
เคราะห์ดีที่ออกจากโรงพยาบาลมาเร็ว เวลาให้เก็บกวาดก่อนอาบน้ำนอนพักผ่อน เอาเรี่ยวแรงไว้ไปสู้กับงานที่ออฟฟิศพรุ่งนี้จึงมีให้เหลือเฟือ
ราวสามชั่วโมง บ้านก็อยู่ในสภาพเรียบร้อย น่าอยู่ดังเดิม เลยรีบไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน แม้จะยังไม่ง่วงเพราะเพิ่งสองทุ่ม แต่ในเมื่อบ้านไม่มีใครให้นั่งคุยด้วย และท้องก็ไม่รู้สึกหิวอะไร
บวกกับอยู่คนเดียว เลยกะว่าจะรีบปิดบ้านช่องให้เรียบร้อยแล้วเข้านอนเลย แต่ยังไม่ทันได้ทำดังที่ตั้งใจไว้ด้วยซ้ำ หูก็แว่วเสียงประตูรั้วเปิดออก หรือเสียงรถแล่นเข้ามาใกล้ๆ หรืออะไรสักอย่างที่รู้สึกว่าผิดปกติ
เลยต้องออกจากห้องมาดู แม้ตรงป้อมยามจะมี รปภ. คอยสกรีนบุคคลเข้าออกและจะโทรมาแจ้งถ้ามีใครมาหา แต่เธอก็รู้สึกเหมือนมีคนมาอยู่ดี
“อุ๊ย!”
มัสยาตกใจจนกายสะดุ้งโหยง เมื่อเปิดประตูออกมาแล้วพบว่าใครยืนอยู่ไม่ห่างจากประตูนัก เหนือสิ่งอื่นใด เธอไม่เข้าใจ แปลกใจ หรือสารพัดของความคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเขาที่นี่
ไวเท่าความคิด เลยรีบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเพราะยังตกใจอยู่มาก
“คุณ! นี่คุณเข้ามาอยู่ในบ้านฉันได้ยังไง! แล้วคุณมาทำไม!”
“ผมคิดว่าคุณบอกให้ผมมาหาซะอีก”
แต่เขากลับยืนจ้องมาหาเธอด้วยท่าทีเฉยเมย
“อะไรนะ! ฉันนี่เหรอ! ไม่ทราบฉันบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือตอนไหนคะ”
มัสยางงเป็นไก่ตาแตกกับสีหน้าและท่าทางกระเดียดไปทางเย้ยหยันนิดๆ ของเขา
“ไม่รู้สิ! บางทีคุณอาจจะอยากให้เรื่องที่พูดกับแม่กับน้องผมเมื่อบ่ายนี้เป็นจริงขึ้นมาเร็วๆ ก็ได้มั้ง”
แต่อีกฝ่ายไม่งงสักนิด ตรงกันข้ามกลับอ่านทางของหญิงสาวขาดด้วยซ้ำ