6
“งั้นคุณก็ไม่ต้องมาถามว่าจะต้องทำยังไงฉันถึงจะพอใจ เพราะดูแล้วคุณคงจะห่างไกลจากคำนั้นสำหรับฉันอยู่มาก ขอตัวค่ะ”
หญิงสาวเดินเลี่ยงเขาหมายจะตรงไปหาประตู เพราะมองไม่เห็นประโยชน์ที่คุยกับคนที่ทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินเธอไปเรียบร้อยแล้วว่าเป็นคนยังไง
“คุณยังไปไหนไม่ได้ จนกว่าเราจะคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ผมทนมาห้าปีแล้ว เราทุกคนไม่เคยสบายใจเวลาเห็นคุณแสดงออกว่าเกลียดพวกเราแบบนี้”
แขนเล็กถูกเขาคว้าเอาไว้ เมื่อไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป จึงต้องคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ ไหนๆ ก็เสียฟอร์มหลุดปากออกมาแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เสียเปล่าเด็ดขาด
มัสยาไม่คิดจะเกรงกลัวร่างสูงใหญ่ที่ฉุดรั้งแขนเอาไว้สักนิด ตรงกันข้าม กลับจ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าอยากให้ฉันเลิกเกลียดคุณกับคนของคุณ ทำไมไม่เริ่มต้นตรงที่เลิกเกลียดพวกเราก่อนล่ะ อย่าคิดว่าฉันจะดูพวกคุณไม่ออกนะ และอย่าคิดว่าเปลือกผู้ดีที่พวกคุณสร้างมาหุ้มไว้จะหลอกฉันได้ ไม่มีทาง”
“แปลว่าคุณเกลียดผม เกลียดพวกเราจริงๆ ไม่ใช่แค่ผมคิดไปเอง”
“ใช่! ฉันเกลียดคุณ! เกลียดพวกคุณ! และมันก็ไม่ได้ต่างไปกว่ากันนักหรอกนะ พวกคุณเองก็เกลียดพวกเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าแม้แต่จะคิดมาถามฉันอีก คุณเองก็ทำไม่ได้ด้วยเหมือนกัน ปล่อย! ฉันจะกลับ”
“ไม่! จนกว่าคุณจะบอกว่าทำไมถึงเกลียดพวกเรานัก”
“ฉันจะไม่บอกอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่คุณยังไม่ลบคำว่าเกลียดพวกเราออกเหมือนกัน”
“แต่ผมไม่เคยเกลียดพวกคุณแม้แต่นิดเดียว”
“งั้นเหรอคะ! ฉันคงจะดูคุณ ดูพวกคุณผิดไปสินะคะ ว่าท่าทีที่พวกคุณแสดงออกต่อพวกเราเป็นเพราะรัก ไม่ใช่เพราะเกลียด”
“ใช่! เพราะถ้าผมเกลียดคุณ ผมก็จะสั่งให้ตัวเองทำแบบนี้ไม่ได้”
ไม่รู้อะไรดลใจให้เขมินท์ท์รวบร่างเล็กๆ เข้ามาหาแผงอกกว้าง แล้วใช้ปากปิดอีกปากที่คอยว่าเขาไม่หยุดหย่อนด้วย ทั้งที่การกระทำอย่างนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดมาก่อนเลย หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้
“อื้ห์ม...”
มัสยาใช้สองกำปั้นทุบไปตามตัวเขาเท่าที่จะทำได้ แต่มันแทบไม่ระคายผิวเขาด้วยซ้ำ แถมสองวงแขนของเขายังรัดเธอไว้แนบแน่น
ริมฝีปากของเขาก็บดขยี้กับริมฝีปากบางอย่างรุนแรง ดุดัน ผิดฟอร์มคุณหมอมาดสุขุมลุ่มลึกที่เคยเห็นคนละเรื่อง
ยิ่งพยายามเรียกเรี่ยวแรงต่อต้านเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น ริมฝีปากก็ครอบครองเรียวปากของเธอเอาไว้อย่างหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม จนร่างเล็กๆ ที่ขัดขืนในเบื้องแรก
ค่อยๆ อ่อนแรงลง หลงเหลือแต่อาการแข็งทื่อและแน่นิ่ง ปล่อยให้เขาดูดดื่มความหอมหวานได้อย่างง่ายดายเท่านั้น
แม้จะเสียใจกับการกระทำของเขาอยู่มาก ทว่าเธอก็กล้าบอกกับตัวเองได้เช่นกัน ว่าไม่ได้รังเกียจเดียจฉันท์เขาแต่อย่างใด แถมยังเผลอไผลไปกับการถูกเขาครอบครองทั้งร่างกายและเรียวกระจับนุ่มเอาไว้ด้วยซ้ำ
เพราะไม่อาจเถียงได้ว่าเขาไม่ใช่ชายในฝันของผู้หญิงหลายร้อยหลายพันคน ผิวขาวราวสตรีของเขา กับใบหน้าอันหล่อเหล่า รูปกายสง่างาม สมชายชาตรีของเขา ประกอบเข้ากันแล้ว ทำให้เขาดูดีไร้ที่ติ
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า จะไม่ผู้หญิงสักกี่คนที่ไม่หลงในเสน่ห์ของเขา โดยเฉพาะเวลาถูกเขากระทำอย่างอุกอาจเช่นตอนนี้
มัสยาเกลียดตัวเองที่เผยอริมฝีปากรับกับจุมพิตของเขา เกลียดสองเข่าที่กำลังจะอ่อนแรงลง จนเขาต้องออกแรงแขนโอบกอดเธอไว้แนบแน่นกว่าเดิม เกลียดสองมือตัวเองที่กำลังลูบไล้ไปตามแผงหลังอันอบอุ่นของเขา
ตึ๊ด! ตึ๊ด! ตึ๊ด!
แต่เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของเขาก็ดังขึ้นมาช่วยชีวิตเธอไว้ได้ทันท่วงที ก่อนจะเข่าอ่อนจนทรุดลงกับพื้นเพราะถูกเขาริดรอนเรี่ยวแรงด้วยจุมพิตอันหนักหน่วงนั้น
เผียะ!
แม้จะไม่ได้เกลียดเขา จะไม่ได้เกลียดการกระทำของเขาอย่างรุนแรง แต่ไม่รู้ทำไมมัสยาถึงได้ฟาดมือน้อยๆ ลงไปบนแก้มขาวของเขาทันทีที่ผลักแผงอกเขาให้ออกห่างได้ อาจจะเป็นเพราะถูกเหยียดหยามหรือลบลู่ศักดิ์ศรีอยู่ก็เป็นได้
เขมินท์ท์ยืนลูบแก้มไป ตาก็จ้องมองเจ้าของรูปร่างผอมเพรียววิ่งออกห้องไปด้วยหัวใจสับสน ค้นหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ว่าทำแบบนั้นลงไปได้ยังไง
ตึ๊ด! ตึ๊ด! ตึ๊ด!
แต่เขาไม่มีเวลาคิด นอกจากรีบตรงไปยังโต๊ะแล้วรับสาย ใช้เวลาคุยไม่กี่นาทีก็ทรุดกายลงนั่งกับเก้าอี้อย่างคนหงุดหงิดหัวใจ ไม่รู้ทำไมถึงควบคุมตัวเองไม่อยู่ขนาดนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คิดจะทำมาก่อนในชีวิต
เขากล้ายืนยันขนาดนั้น และโยนความผิดทั้งหมดให้เธอ ที่ยั่วยุอารมณ์อันสงบเยือกเย็นของเขาให้ร้อนระอุขึ้นมาเพราะความโกรธ
ใช่!
เขาโกรธเจ้าหล่อน โกรธแม่กับน้องของเจ้าหล่อน ที่ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ ได้ไปเท่าไหร่ไม่เคยพอใจ มักจะหวนกลับมารีดไถครอบครัวเขาอยู่ร่ำไป
โดยการเอาชื่อเสียงของโรงพยาบาลและความเป็นคนมีอันจะกินของครอบครัวเขาเป็นเครื่องประกัน และต้องยอมรับ ว่าแม่ของเจ้าหล่อนเก่ง ที่รู้จักใช้สื่อเมืองไทยที่กระหายข่าวด้านมืดของคนอื่นให้เป็นประโยชน์
ครอบครัวเขาถึงต้องคอยหยิบยื่นนั่นนี่ที่เรียกร้องมา ไม่ว่าจะเป็นเงินสินไหม เงินค่าเลี้ยงดู ค่ารักษาระดับพรีเมี่ยมและอื่นๆ อีกมากมาย
ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด
ชายหนุ่มต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้คงที่ ก่อนจะรับโทรศัพท์บนโต๊ะอีกครั้ง ไม่นานเขาก็ต้องรีบลุกไป เมื่อเลขาโทรมาเตือนว่าถึงเวลาต้องเข้าประชุมแล้ว
เขาได้แต่โยนเรื่องของครอบครัวริ้นไรเอาไว้เบื้องหลัง แล้วหันหน้าเข้าหางานอันยุ่งเหยิงทันที