5
“คุณหมอเป๊กฝากแจ้งว่าถ้าญาติมาแล้วช่วยขึ้นไปหาที่ออฟฟิศด้วยค่ะ”
แต่ที่ไม่ปกติก็คือประโยคนี้
เดาได้ทันทีว่าแม่กับน้องของเขาคงจะขึ้นไปเล่าไปฟ้องหรือไม่ก็ไปบ่นเรื่อง ที่เจอ ‘ริ้นไร’ ในลิฟต์ให้ฟังแน่ อดดีใจไม่ได้ที่เมื่อกี้ควบคุมสติอยู่ ไม่เผลอหลุดปากเถียงกลับทั้งสองออกไป
“เอ่อ! ไม่ทราบคุณหมอมีเรื่องอะไรแจ้งไว้หรือเปล่าคะ”
ไม่ใช่ว่าจะขี้ขลาดไม่อยากเจอเขา แต่เป็นเพราะไม่ชอบบรรยากาศในออฟฟิศของเขา ไม่ชอบสีหน้าและท่าทางของเขาที่เธออ่านไม่เคยออก ว่าเขาคิดยังไงกับเธอและคนในบ้าน
ระหว่างเฉยๆ กับเกลียดชังแต่ปิดบังไว้ด้วยท่าทีนิ่งเงียบ
“ไม่ค่ะ! แต่คุณหมอบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ ฝากให้ญาติรีบไป เพราะอีกหน่อยคุณหมอจะต้องเข้าประชุมค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
มัสยาสูดลมหายใจเข้าออกถี่ๆ เพื่อเรียกพละกำลังให้มีแรงเดินออกจากประตูลิฟต์ไปยังหน้าห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูง ทั้งชั้นมีด้วยกันราวสิบห้อง
ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีบทบาทในการบริหารโรงพยาบาลแห่งนี้ให้เป็นปึกแผ่นมากขึ้นก็ว่าได้ หรืออีกนัยก็คือ ช่วยกันขูดเลือดขูดเนื้อบรรดาผู้มีอันจะกินมาเข้ากระเป๋าให้ตุงเอาไว้ก่อนนั่นเอง
“คุณหมอรออยู่ค่ะ”
แม้จะเป็นคนโลกสวย มองอะไรหรือมองใครคนในแง่ดี แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงท่าทีของเลขาหน้าห้องที่ออกจะเหยียดหยันเธออยู่ในที แต่ก็ไม่อยากคิดมาก นอกจากเดินไปยังประตู
โดยมีเลขาเคาะเบาๆ แล้วเปิดให้ตามหน้าที่ แล้วก็รีบออกไปตามหน้าทีอย่างรดวเร็ว
“เชิญนั่งครับ”
และแม้จะพยายามไม่คิดอะไรมาก แต่ก็ไม่เคยเชื่อสนิทใจได้อยู่ดีว่า ภายใต้ท่าทีเรียบเฉยของเขานั้น แอบเย้ยหยันเธออยู่บ้างไหม ห้าปีแล้วที่ครอบครัวต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัวเขา
แต่นอกเหนือจากความรับผิดชอบในชีวิตพ่อที่จากไปด้วยน้ำเงินของพวกเขาแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ด้านอื่นงอกเงยขึ้นมาเลย
“ขอบคุณค่ะ”
มัสยาฝืนใจยกมือไหว้เขาในทุกครั้งที่พบหน้ากัน เพราะไม่อาจจะเคารพนับถือคนพวกนี้ด้วยใจจริงได้ พอๆ กับที่พวกเขาเองก็ไม่ได้อยากจะช่วยเธอและครอบครัวจากใจจริงเช่นกัน
“เห็นพยาบาลบอกว่าคุณมีเรื่องสำคัญจะคุยเหรอคะ”
หมอหนุ่มในวัยสามสิบสามและมีใบหน้าหล่อเหลายิ่งกว่าพระเอกละครหลังข่าวละสายตาจากเอกสารตรงหน้าไปมอง ก่อนจะถอนหายใจน้อยๆ วางปากกาลงไปบนแฟ้มไว้ แล้วหันไปมองลิ้นชักโต๊ะทำงาน
“ร้อนใจกลัวไม่ได้เหรอครับ”
มัสยาไม่ชอบในท่าทีถอนหายใจของเขาเมื่อครู่เป็นทุนอยู่แล้ว ก็ให้กังขากับน้ำคำของเขาเพิ่มขึ้นมาอีก ครั้นจะเอ่ยปากถาม เขาก็เปิดลิ้นชักหยิบซองสีขาวมายื่นให้เรียบร้อยแล้ว
“อะไรคะ”
ข้อสงสัยแรกจึงตกไป เพราะมีข้อสงสัยใหม่ในซองมาดึงความสนใจไปจนหมดสิ้น เขายิ้มตรงมุมปาก ที่เธออ่านออกได้ทันทีว่าเขาไม่เชื่อในคำถามที่เธอส่งไปหา
“เปิดดูสิครับ แล้วกรุณานับด้วยว่าครบเจ็ดหมื่นหรือเปล่า ปกติผมโอนให้ห้าหมื่น แต่เดือนนี้คุณพ่อเห็นแม่คุณป่วยเลยเพิ่มพิเศษให้สองหมื่น จะได้มีไว้ใช้ โดยไม่ต้องทำงานอะไรไงครับ”
มือบางที่กำลังจะเอื้อมไปคว้าซองมาดูให้รู้แน่ว่าคืออะไรต้องหยุดชะงัก เพราะเขาให้คำตอบแล้ว และเธอก็ไม่ชอบเอามากๆ เมื่อได้ยิน เพราะหนึ่งคือไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่โอนเข้าบัญชีแม่เหมือนทุกเดือน
กับสองคือทำไมเขาจะต้องเพิ่มให้ด้วย หรือเขาคิดว่าเธอกับคนในบ้านเป็นพวกริ้นไรคอยดูดเดือดพวกเขาเหมือนที่แม่เขาว่าไว้
“ฉันขอไม่รับเงินนี้ค่ะ ช่วยกรุณาโอนเข้าบัญชีแม่เหมือนเดิมและตามจำนวนเดิมก็พอค่ะ ธุระสำคัญของคุณมีแค่นี้ใช่มั้ยคะ ฉันจะได้ลงไปเฝ้าแม่ต่อ”
ไม่บอกเปล่า หญิงสาวรีบลุกพรวดพราดไปจากหน้าเขาทันที เพราะไม่ชอบใจเอามากๆ เมื่อตีความตามคำพูดเมื่อครู่ของเขาได้ว่า เธอเองก็ไม่ต่างจากแม่กับน้องนัก เพราะจัดเป็นพวกหิวเงินเหมือนกัน
“พวกผมจะต้องทำยังไง จะต้องจ่ายเท่าไหร่ คุณถึงจะพอใจ และเชื่อใจว่าเรารู้สึกผิดกับการตายของพ่อคุณ”
นายแพทย์หนุ่มส่งน้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่พอใจไปหา พอๆ กับร่างกายสูงใหญ่ลุกพรวดพราดขึ้นแล้วย่างสามขุมไปขวางไว้
เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหล่อนถึงแสดงสีหน้า ท่าทางว่าเกลียดชังเขากับคนในครอบครัวของเขาไม่เสื่อมคลาย แม้จะพยายามช่วยเหลือมามากแค่ไหนก็ตาม
“คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากไปกว่านี้แล้วค่ะ ที่เหลือก็แค่ให้เกียรติพวกเราเท่านั้นพอ”
มัสยาทนไม่ไหวถึงได้เรียกร้องออกไป แม้เคยตั้งใจว่าจะไม่ปริปากเรื่องนี้แล้วเชียว
“เกียรติ! นี่เราทำถึงขนาดนี้ คุณยังไม่คิดว่าเราให้เกียรติอีกเหรอ เราจะต้องจ่ายไปอีกเท่าไหร่ถึงจะตะเกียกตะกายหรือเฉียดเข้าไปใกล้คำว่า ‘เกียรติ’ ที่คุณอยากได้นัก”
นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่มัสยารู้สึกเกลียดเขาขึ้นมาจริงๆ เพราะในท้ายที่สุด เขาก็เผยธาตุแท้ออกมา ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้ต่างจากแม่กับน้องสาวของเขานัก ที่ดูถูกเธอว่าเป็นพวกหิวเงิน เธอจึงตอบโต้เขาออกไปด้วยท่าทีดุดัน น้ำเสียงหนักแน่น
“คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายด้วยเงิน เพราะฉันไม่ได้ต้องการ แต่คุณควรจะจ่ายด้วยใจ ที่เอาไว้มีให้พวกเราอย่างเท่าเทียม อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีที่มนุษย์พึงจะมี”
“แต่แม่กับน้องคุณไม่เห็นเคยบอกอย่างนี้เลยนี่ ตรงกันข้าม กลับส่งสัญญาณให้เรารู้ว่าที่ได้ๆ อยู่ยังไม่พอด้วยซ้ำ แล้วคุณจะทำให้ผมเข้าใจว่าตัวคุณเองคิดต่าง เห็นต่างอย่างนั้นเหรอ อย่าพูดให้ผมหัวเราะไม่ออกหน่อยเลยน่ะ”
เขมินท์ท์ส่งท่าทีบ่งบอกว่าไม่เชื่อน้ำคำสักนิด เพราะเจ้าหล่อนก็คงไม่ต่างจากแม่กับน้องสักเท่าไหร่ จะผิดกันก็ตรงมีชั้นเชิงในการเรียกร้องแยบยลกว่า จนเขาต้องเดือนร้อนเปิดปากถามออกมาตรงๆ อยู่ตอนนี้