บทที่ 6
อดทนเวลาที่ฝนพรำ
อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง
เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง
ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ
ว่ามันคุ้มค่า แค่ไหนที่เฝ้ารอ
(เพลงฤดูที่แตกต่าง /นภ พรชำนิ )
“อดทนไม่ได้หรอก อดทนกลับบ้านไม่ได้”
เสียงบ่นจากริมฝีปากอิ่มเรื่อดังขึ้น เมื่อได้ยินเนื้อเพลงแว่วออกมาจากแผ่นซีดี ที่เปิดทิ้งไว้ฟังในรถยนต์ คนขับหงุดหงิด กับฝนที่ตกพรำมาเป็นสาย และรถติดอย่างหนัก จนไม่อยากฟังเพลงนี้ต่อ มือเรียวจิ้มหนีเพลงที่เกี่ยวกับฝนไปเสีย ก่อนจะถอนใจ ตามองยังไฟท้ายรถข้างหน้า ที่แดงต่อกันเป็นสาย พลางบ่นกับตัวเองอีกรอบ
“ไม่น่าเพลินจนออกมาช้าเลยเรา ย่ารอแย่แล้ว น่าจะรู้ว่าพอฝนตก รถก็ต้องติด”
เธอบ่นกับตัวเอง พลางสะดุ้ง เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น เบอร์โทรศัพท์บอกว่าเป็นของใคร ทำให้หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ แล้วย่นจมูกก่อนรับสาย
“ค่ะย่า”
“อยู่ไหนน่ะ หนูปราง ย่ารอกินข้าวนะ วันนี้ทำยำตะไคร้ เห็นว่าหนูอยากกิน มีสะเดาลวก กินกับปลาดุกย่าง กับกุ้งแม่น้ำย่างด้วยนะ ป้าเราเขาไปซื้อกุ้งมาจากเด็กๆ ข้างบ้าน ตกกันได้หลายตัว เลยขอแบ่งมา เห็นว่าเป็นของชอบเรา”
“ย่าขา พูดจนปรางหิวมากเลย อยากจะฝ่ารถติดกลับไปบ้านเรามากๆ บอกลุงชุ่มอย่างเพิ่งมารับปรางนะคะ ไว้ถึงก่อน”
ปราง หรือ ปรางนวลพูดเสียงใส บ้านเรือนไทยของผู้เป็นย่า ที่เธออาศัยอยู่ด้วย อยู่ลึกเข้าไปในคลอง ที่ไม่มีถนนตัดผ่าน ต้องเอารถไว้ที่บ้านของชาติชายบิดาเธอ แล้วให้ชุ่ม มารับเธอเข้าไปอีกที
“เอ่อ ย่ารอนะ กี่โมงก็จะรอ ห้ามไปนอนบ้านพ่อเราล่ะ”
“ค่ะย่า แค่นี้ก่อนนะคะไฟเขียวแล้ว”
ปรางนวลตอบ แล้ววางสาย เธออดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึง ปริก ผู้เป็นย่า หญิงชราแยกตัวไปอยู่ที่บ้านเรือนไทย พร้อมกับ ชุ่ม สารภี คนรับใช้ที่ทำงานกับนางมานานจนรู้ใจกัน ปริกให้เหตุผลว่าไม่ค่อยถูกชะตากับ สิริสุดา ภรรยาใหม่ของชาติชาย ที่อายุแก่กว่าปรางนวลไม่กี่ปี ปริกทำใจไม่ได้ เลยหนีไปอยู่บ้านเรือนไทยหลังเดิม ก่อนที่ชาติชายจะมาปลูกสร้างบ้านใหม่ ที่ติดกับถนนและการสัญจรง่ายกว่าบ้านหลังเดิมมาก
ปรางนวลไปนอนกับผู้เป็นย่าเกือบทุกวัน เพราะย่าปริกเหมือนจะยึดหลานสาวคนเดียวไว้ เป็นที่เชิดชูหัวใจที่อ่อนแอตามร่างกาย เธอต้องรีบกลับบ้าน หลังจากทำงานในโรงแรมของบิดาที่เธอรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการเรียบร้อยแล้ว ปริกบอกว่าเพราะชาติชาย ส่งเธอไปเรียนเมืองนอก ทำให้นางเหงา แถมสะใภ้ใหม่ก็ไปคว้ามาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่ถูกใจนาง ยังไงก็ต้องให้ปรางนวลไปอยู่เป็นเพื่อน เดี๋ยวหลานสาวจะไม่เป็นกุลสตรี เพราะติดวัฒนธรรมต่างชาติมาเสียหมด
นึกแล้วเธอก็หัวเราะเบาๆ จนนัยน์ตาคมหวานเป็นประกายระยับ เธอได้รับการถ่ายทอดเรื่องความเป็นไทย มาจากผู้เป็นย่ามากมาย ปริกเป็นเหมือนคนหัวสมัยเก่า ทั้งเรื่องการกินอยู่ มารยาท การวางตัว ถ่ายทอดมาให้หลานสาวคนเดียวทุกกระเบียด ชื่อของเธอ ปรางนวล นี้ฟังดูไทยๆ หวานๆ มาก ย่าก็เป็นคนตั้งให้เธอ บิดาแอบเบ้ปากแล้วบ่นว่าเชยมาก หากแต่ลูกสาวคนเดียวกลับยิ้ม แล้วบอกว่าย่าตั้งให้ไม่เป็นไร ชาติชายเองก็ชักจะปลงๆ ที่ลูกสาวผูกตัวติดกับผู้เป็นมารดามากกว่าเขา ตอนนี้เขาก็หายเหงา เพราะภรรยาใหม่อย่างสิริสุดา ช่างอ้อนและช่างเอาใจเขามากทีเดียว แถมเรื่องธุรกิจ ลูกสาวคนเก่งของเขาก็รับทุกอย่างไว้ได้อย่างดี เรียนรู้อย่างรวดเร็ว จนเขาพอจะวางใจ ปล่อยกิจการโรงแรมระดับห้าดาว ที่เขามีหุ้นใหญ่อยู่ อย่างโรงแรม แกรนด์ พาราไดรส์ โฮเต็ล ให้ลูกสาวช่วยบริหารได้ ฝีมือของปรางนวล ทำให้หุ้นส่วนของเขาหลายคนพอใจมาก ว่าลูกสาวคนเก่งของเขา เดินตามรอยเท้าพ่อมาได้อย่างดีเยี่ยม
ปรางนวลมีชื่อที่เหมาะกับหน้าตาของเธอ หญิงสาวมีนัยน์ตากลมโต หวานคม คิ้วเรียว จมูกโด่งเรียวเล็ก ริมฝีปากอิ่มเรื่อ ผมยาวดำสนิทไว้ยาวจนเกือบถึงสะโพก หน้าตาเธอเหมือนกับสาวไทยแท้ ทั้งที่มีเชื้อจีนมาจาก กรรณิการ์มารดา มรดกที่เธอได้มาจากมารดา ก็คงจะเป็นผิวขาวนวลอมชมพู นอกจากนั้น หน้าตาเธอเหมือนบิดามากเลยทีเดียว เพราะชาติชายเองก็หล่อคมเข้ม
หญิงสาวขับรถและคิดอะไรเพลินๆ สายตาก็สะดุดเข้ากับป้ายซอย ที่เธอจำได้ว่า มันเป็นทางลัดให้เร็วขึ้น เพื่อตัดผ่านไปยังถนนเส้นที่ออกตรงไปยังบ้านของเธอ ปรางนวลลังเลนิดหน่อย เมื่อมองทางข้างหน้า ที่รถเริ่มจอดอีกแล้ว สลับกับมองนาฬิกาในรถ ที่บอกเวลาเกือบจะทุ่มแล้ว ทำให้เธอตัดสินใจ เลี้ยวรถเข้าไป ทั้งที่เป็นทางค่อนข้างเปลี่ยว
ถนนที่ค่อนข้างเงียบ ปราศจากหมู่บ้านคน ทำให้ปรางนวลอดกลัวไม่ได้ เธอเปิดเพลงในรถดังอีกหน่อยเป็นเพื่อน หญ้าข้างทางขึ้นสูงมาก และรกร้าง ราวกับหลุดมาอยู่ในป่าดง มากกว่าจะอยู่ในใจกลางกรุงเทพฯ ตามความเป็นจริง หญิงสาวเร่งความเร็วของรถขึ้นอีกนิด แม้ถนนจะค่อนข้างลื่นและแคบ เธออยากจะไปพ้นซอยนี้เสียเร็วๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้เธอมองหาโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ ละสายตาจากทางเบื้องหน้าชั่วครู่ เพียงแวบเดียวที่ละสายตา และแล้ว
เอี๊ยด ! โครม !