บทที่ 7
“บ้าอะไรวะ!”
รถโฟวิลคันใหญ่ถึงกับกระตุกทั้งคัน เมื่อโดนชนท้ายเข้าอย่างจัง เจ้าของรถถึงกับตะโกนอย่างหงุดหงิดลั่นรถ ด้วยความโมโห นี่เขาอุตสาห์หาทางลัดกลับบ้าน แล้วนี่มันอะไรกันนี่? เขาถอนใจพลาง ตบซองปืนที่อยู่ที่เอว นัยน์ตาคมกริบเหลือบดูทางกระจกหลัง คู่กรณีของเขายังไม่ยอมลงมาจากรถ มาดูความเสียหายอะไรเลย มือใหญ่เปิดประตู ก่อนจะก้าวลงมาจากรถของเขา
ชายหนุ่มเดินก้าวยาวๆ ไปตรงท้ายรถ แล้วก็ยิ่งโมโห เขารักรถมาก นี่ยุบไปถึงขนาดนี้เลยเหรอ พลางมองความเสียหายของรถคู่กรณี ที่กระโปรงหน้า ยุบเข้าไปมากเหมือนกัน โลโก้ที่ไม่บู้บี้ติดหราอยู่หน้ารถ บอกว่าคู่กรณีของเขาคงมีความสามารถ ที่จะจ่ายค่าเสียหายให้เขาได้แน่ๆ คิดแล้ว ชายหนุ่มก็เดินตรงไปยังด้านคนขับทันที พลางเคาะกระจกรถเบาๆ
“คุณชนรถผมแล้ว ใจคอไม่คิดจะออกมาเคลียร์เลยหรือไง”
เสียงห้วนๆ ตวาด ทำเอาหญิงสาวเจ้าของรถถึงกับสะดุ้ง แล้วมองชายหนุ่มที่มาเคาะกระจกรถเธอตาโต ปรางนวลไขกระจกลงเล็กน้อยแค่พอได้ยินเสียงเขา ก็หน้าตาเขาน่ะ มันเหมือนกับ...
ชายหนุ่มร่างสูง ตัวเขาโตมาก ปรางนวลเดาว่า เขาคงสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร ตัวหนาใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นก็ไม่ปาน ซ่อนใบหน้าไว้ใต้หนวดเคราหนาครึ้ม เห็นแต่สายตาดุๆ ราวกับเหยี่ยวที่ส่งมา แถมเสื้อที่เขาใส่ ตายแล้ว! สายตาเธอกวาดไล่ลงมาตามเรือนร่างแข็งแกร่ง ถ้าไม่อุปาทาน เธอเห็นรอยเลือดเล็กน้อยที่เสื้อยืดสีขาวที่เขาสวมอยู่ ปรางนวลถึงกับตาโต หัวใจเต้นแรงโดยอัตโนมัติ
“เฮ้ ! คุณ เปิดกระจกลงมาคุยกันก่อน คุณชนรถผมนะ”
“ก็เรียกประกันสิ ทำไม นายจะคุยอะไรกับฉันเล่า” ปรางนวลหัวใจเต้นเร็ว เธอกลัวผู้ชายตัวโตเหมือนหมีคนนี้มาก ท่าทางไม่ใช่คนดี แถมดูจะเอาเรื่องมากด้วย
“อะไรของคุณน่ะ ชนรถผมแล้วก็ปิดกระจกเงียบไม่คุย จะบ้าหรือไง!” บุรารักษ์เริ่มโมโห เมื่อเห็นคู่กรณีเป็นหญิงสาว ที่เขาเห็นไม่ชัดนักเพราะเป็นคืนเดือนมืด เธอทำราวกับเขาเป็นโจรผู้ร้าย ทั้งที่จริงแล้ว เขาเป็นถึงผู้กองของแผนกสืบสวน เขาเหนื่อยและเพลียมาก เพิ่งขับรถกลับมาจากสถานีตำรวจ ที่พาคนร้ายคดีค้ายาบ้าไปส่งมา อยากจะนอนมากๆ แล้วแม่คนนี้จะมาเล่นแง่อะไรอีก ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดหัวใจ นัยน์ตาคมเป็นประกายวับ แล้วท้าวเอวทันที
“ฉันจะเรียกตำรวจนะ ฉันไม่คุย”ปรางนวลเห็นท่าทางแบบนั้นของเขา ก็รีบตะโกนไปทันที เธอไม่ไว้ใจเขาหรอก เธอต้องขู่ไว้ก่อน ท่าทางยังกับโจร เธอเคยได้ยินคดีที่ชนรถแล้วชิงทรัพย์เจ้าของรถ ยิ่งเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ในซอยเปลี่ยวเสียด้วย ใครจะรับประกันได้ว่า นายคนนี้จะไม่ทำอะไรเธอ หน้าตายังกับโจร ตัวก็โตเหมือนยักษ์ ปรางนวลก็ต้องระแวงไว้ก่อนล่ะ
“เป็นบ้าหรือไง ผมนี่แหละตำรวจ”
บุรารักษ์ประกาศ คนในรถท่าทางจะสติไม่ดี นี่เธอมาชนเขาแท้ๆ แล้วนี่จะมาบ้าบออะไรอีก ความจริงความเสียหายแค่นี้ ต่างคนต่างขับรถกลับแยกย้ายกันก็ได้ แต่นี่เธอเล่นแง่จะคุยอะไรก็ไม่คุย แถมทำราวกับเขาเป็นโจรผู้ร้ายเสียด้วย ผู้หญิงประสาท !
“สภาพอย่างนายเป็นตำรวจ แล้วแบบไหนจะเรียกว่าโจร หน้าตายังกับโจร ฉันไม่ลงไปคุยด้วยหรอก”
ปรางนวลตะโกนกลับมา ทำเอาบุรารักษ์ถึงกับคิ้วกระตุก แล้วถึงกับส่ายหน้า นี่ตกลงเขามาเจอกับผู้หญิง ที่ไม่ค่อยมีสติเต็มร้อยจริงๆ ล่ะสิเนี่ย
“คุณมาชนรถผม ประกันก็ไม่ยอมเรียก ลงมาเคลียร์ก็ไม่ยอมเคลียร์ แถมยังหาว่าผมเป็นโจรอีก มากไปล่ะมั้งคุณ” เขาใช้มือตบกระจกรถเธอเบาๆ เพราะตบะเริ่มแตกเสียแล้ว
“ลงมาคุยกันดีๆ นะ ผมไม่อยากเสียเวลา ฉิบ...เอ้ย”
คำสบถดังยาวเหยียด ออกมาจากริมฝีปากได้รูป ทำเอาปรางนวลทำตาโต อีตานี่ด่าเรา หน็อย...เธอกดกระจกไฟฟ้าลงมาทันทีอย่างลืมตัว ก่อนจะยื่นหน้าออกมาพูดเสียงเขียวใส่เขา
“นายด่าฉันเหรอ”
“ไม่ได้ด่า”
บุรารักษ์ย่นคิ้ว เขาไม่ได้ว่าเธอ แค่เป็นคำสบถที่ติดปาก หากแต่ปรางนวลไม่เชื่อ และเริ่มโมโห เธอตวาดเขาอีกรอบ
“นายด่าฉัน ได้ยินอยู่เต็มหู ก็อยู่กันแค่สองคน”
“เออ...แล้วแต่เถอะ ขี้เกียจเถียงด้วย ผู้หญิงบ้าๆ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะถอนใจ งานนี้ซ่อมเองก็ได้วะ เขาคิดแล้วเดินก้าวยาวๆ ไปขึ้นรถของเขา กะจะขับหนีเธอไป ปรางนวลเปิดประตูรถลงมา และวิ่งตามเขาไปจนทัน มือเรียวกระชากแขนเขาไว้ ก่อนที่บุรารักษ์จะทันขึ้นรถ
“นายต้องขอโทษฉันก่อน เกิดมาไม่มีใครทำหยาบคายกับฉันแบบนี้ แล้วถือดียังไงมาเรียกฉันว่าผู้หญิงบ้าๆ ฉันไม่ยอม”
“ก็พูดไปแล้ว ไม่ขอโทษหรอก คุณสมประกอบที่ไหนล่ะคุณผู้หญิง จู่ๆ ก็มาหาว่าคนอื่นเขาเป็นโจร คุณว่าผมก่อนนะ”
เขาสะบัดแขนให้มือเรียวนั้นหลุด ก่อนจะเลิกคิ้วใส่เธอ เพิ่งจะได้มองเธอเต็มสายตาคราวนี้ หญิงสาวใบหน้าสวยคมแบบสาวไทยแท้ ผิวนวลขาวผ่อง กำลังทำท่าทางเอาเรื่องเขา ผมของเธอยาวและดำมันมาก บุรารักษ์ถึงกับหรี่ตาเมื่อเห็นคู่กรณีถนัดตา แม่คุณสวยราวกับนางในวรรณคดีหลุดออกมาเชียว แต่ไหงไม่ค่อยเต็มบาทนัก คำพูดของเขา ทำเอาปรางนวลอ้าปากค้าง
“ไอ้บ้า!”
ปรางนวลเริ่มโมโหจัด มือเรียวกะจะสะบัดตบหน้าเขา หากแต่คนตรงหน้าไวกว่าเขาคว้าเธอมากอดไว้เต็มอ้อมแขน ตัวของเขาใหญ่มาก จนหญิงสาวรู้สึกราวกับอยู่ในป้อมปราการ ก่อนจะกระซิบเสียงห้าวใส่เธอ นัยน์ตาคมดุเป็นประกายวาบ
“เดี๋ยวพ่อก็ปล้ำเสียหรอก ให้เป็นโจรไปจริงๆ เลย”
“...”
หญิงสาวถึงกับอ้าปากค้าง นิ่งไปเลยเพราะความตกใจ เลือดในตัวเย็นเชียบ นึกกลัวว่าเขาจะทำแบบนั้นจริงๆ เธอจะเอาอะไรไปสู้ ตัวเธอเล็กนิดเดียวเมื่อยู่ในวงแขนเขา บุรารักษ์ปล่อยเธอให้เป็นอิสระ หลังจากขู่เธอไปแล้วเรียบร้อย ก่อนจะเปิดประตูแล้วนั่งบนเบาะ เขาพูดลอยๆ ขึ้นว่า
“ตกลงเราสองคน ต่างคนต่างซ่อมไปก็แล้วกัน ผมไม่อยากวุ่นวายเกี่ยวข้องอะไร กับผู้หญิงสติไม่ค่อยเต็มบาทอย่างคุณ”
“ไอ้...”
ปรางนวลได้สติเต็มที่แล้ว เธอขยับจะด่าเขา หากแต่บุรารักษ์พูดเสียงดุๆ ขึ้นเสียก่อน
“อย่าด่านะ ลองด่าล่ะก็ ฉุดลงพงหญ้าข้างทางนี่แหละ”
ปรางนวลถึงกับหุบปากฉับ เดินปึงๆ ไปขึ้นรถของตัวเอง บุรารักษ์ถอนใจเฮือก ก่อนจะปิดประตูรถ แล้วค่อยเคลื่อนรถออกไป วันนี้วันอภิมหาซวยของเขาจริงๆ ที่มาเจอกับผู้หญิงอย่างเธอเข้า ชื่อก็ไม่รู้จัก ดีแล้วล่ะไม่อยากรู้จักนักหรอก ชายหนุ่มคิดอย่างเคืองๆ
สายตาเขาอดมองกระจกหลังไม่ได้ ว่าแม่สาวหน้าคมหวานนั่น จะเอารถที่หน้าบุบขนาดนั้นขับต่อไปได้ไหม แต่ก็ต้องย่นคิ้ว เมื่อเห็นว่ามันยังอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มชะลอรถ ก่อนจะถอนใจ เขาเป็นตำรวจ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ประชาชนเดือดร้อน เขาก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ สงสัยเธอจะขับรถคันนั้นต่อไม่ได้จริงๆ แล้ว หม้อน้ำมันคงแตกหรืออะไรสักอย่าง ก็เล่นชนแรงเสียขนาดนี้นี่นา เขาตัดสินใจหาที่เลี้ยวรถ และเลี้ยวกลับไปหาเธอ ขณะเดียวกับก็โทรศัพท์หาเพื่อน ที่เป็นตำรวจด้วยกัน ที่ยังอยู่ที่สถานีตำรวจ
“เอ มาหาหน่อยสิวะ ซอยหลังโรงพักน่ะ เออ ยังไม่ได้ไปถึงไหนหรอก รถชนว่ะ เอารถลากมาด้วยนะ”
“ตายล่ะ ทำไมไม่ไปล่ะลูกแม่ แย่แล้วเรา จะทำยังไงดี”
ปรางนวลซบหน้ากับพวงมาลัย พลางถอนใจ ก่อนจะมองไปรอบๆ มืดสนิท กว่าเธอจะเรียกช่างหรือประกันมา ก็คงกินเวลานาน ข้างนอกรถติดมโหฬารขนาดนั้น เผลอๆ ต้องแกร่วอยู่ที่นี่ทั้งคืน แล้วเธอจะทำอย่างไรดีนะ
สมองของปรางนวล เริ่มคิดทบทวนว่า เธอจะขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง มือเรียวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เพื่อจะกดเบอร์โทรศัพท์หาคนรู้จัก ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ หากแต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องอุทานอย่างตกใจ เมื่อเสียงโทรศัพท์ของเธอร้องเตือนว่าแบตเตอรี่อ่อน แล้วหน้าจอก็ดับไปเลย
“อะไรจะซวยขนาดนี้ ซวยซับซวยซ้อน แล้วจะทำยังไงดี อย่างน้อยถ้านายหน้าโจรนั่นอยู่ด้วย ก็ยังดีหรอก”
ปรางนวลบ่นพึมพำ แล้วซบหน้าลงกับพวงมาลัยอีกรอบ สงสัยเธอจะต้องรอใครสักคนผ่านมา แล้วมาช่วยเธอแล้วล่ะมัง ไม่ก็ต้องรอจนสว่างแล้วค่อยออกไปปากซอย ตอนนี้เธอไม่กล้าไปไหนหรอก มืดออกขนาดนี้ เมืองหลวงไว้ใจใครได้ที่ไหนกัน โจรผู้ร้ายชุกชุม แถมข่าวข่มขืนก็มีไม่เว้นแต่ละวัน
ขณะที่ปรางนวลกำลังคิดสับสนวุ่นวายอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงรถแล่นมา หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นทันที แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าเป็น ‘นายหน้าโจร’ ที่เธอว่าเขาไว้นั่นเอง
“คุณ รถไปไม่ได้ใช่ไหม ออกไปปากซอยกับผมจะเรียกแท็กซี่ให้”
บุรารักษ์เดินลงมาจากรถ ก้าวยาวๆ มาเคาะกระจกรถเธอ ปรางนวลแทบอยากจะตอบตกลง ด้วยความดีใจ ที่เขายังเป็นห่วงกลับมาช่วยเธอ หากแต่การประคารมเมื่อครู่ที่รุนแรงพอดู ทำให้เธออดคอแข็งไม่ได้ ก็เขาเรียกเธอว่าผู้หญิงไม่เต็มบาท
“รถฉันล่ะ”
ปรางนวลว่า บุรารักษ์ถอนใจ พลางมองไปยังถนนที่ยังมืดมิด ซอยนี้อยู่ข้างหลังสถานีตำรวจที่เขาทำงานอยู่ ไม่น่าจะเกินสิบนาที เพื่อนเขาก็น่าจะมาได้ตามคำสั่ง
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ลงมา รับรองไม่หาย พรุ่งนี้คุณก็ไปเอาที่โรงพักก็แล้วกัน เห็นโรงพักที่อยู่หน้าปากซอยไหม ไปเอาได้เลย ผมจะให้เขาเอาจอดไว้ที่นั่นแหละ”
“หืม?” ปรางนวล ย่นคิ้ว อีตาหน้าโจรนี่พูดราวกับว่า รู้จักคนในสถานีตำรวจอย่างนั้นแหละ หน้าตาออกจะเหมือนโจร มากกว่าจะเป็นคนดีๆ หญิงสาวคิดในใจ มือเรียวจับประตูอย่างลังเล ริมฝีปากสีเรื่ออดพูดออกมาไม่ได้ว่า
“ไม่ใช่ว่านายหลอกฉันแล้วเอารถฉันไปขายนะ”
“นี่คุณผู้หญิง!” บุรารักษ์เริ่มหมดความอดทน กับหญิงสาวแล้วเต็มแก่
“ผมจะทำอย่างนั้นทำไม รถคุณหน้ายู่ยี่ขนาดนี้ คุ้มไหมถ้าจะลากไปน่ะ แล้วตกลงจะไปไหม คนอุตสาห์หวังดีลงมาช่วย ไม่น่าเลยไอ้บอมเอ๊ย”
“ก็...”
ปรางนวลหน้าแดง ที่เธอไปมองเขาแบบนั้น เธอเม้มริมฝีปาก พลางคว้าเอากระเป๋าถือ และเปิดประตูรถ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถอีกคัน แล่นมาจอดหลังรถเธอพอดี ชายในเครื่องแบบ ที่วิ่งมาหาเขาและเธอ ทำให้ปรางนวลใจชื้นขึ้นทันที โชคดีสุดๆ ตำรวจมาทางนี้พอดี หญิงสาวคิดในใจ จะได้ไม่ต้องไปกับนายเต๊ะนี่
“มาแล้วเหรอ รถคันนี้แหละ เอาไปไว้ที่โรงพักก็แล้วกันนะเอ”
“ครับ ผู้กอง”
ประโยคตอบรับจากตำรวจนายนั้น ทำเอาปรางนวลหันมามองเขาตาโต ตกลงนายนี่เป็นตำรวจจริงๆ เหรอนี่
“จะไปกันได้หรือยังล่ะคุณ” บุรารักษ์ว่า พลางหันมาถามเธอด้วยเสียงห้วนๆ
“ผมไม่ได้มีเวลาว่างทั้งคืนหรอกนะ เชื่อหรือยังว่าผมเป็นตำรวจ ไม่ได้เป็นโจร คงจะยอมขึ้นรถผมได้แล้วสินะ”