บทที่ 4
กลิ่นควันธูป อบอวลไปทั่วบริเวณห้องเล็กๆ ที่มีหน้าต่างเปิดไว้เพียงสองสามบาน ทั้งห้องทาสีขาว ระโยงระยางไปด้วยด้ายสายสิญจน์ ที่ผูกล้อมไปทั่วห้อง มาจนถึงโต๊ะหมู่ ที่มีบรรดารูปปั้นสารพัด เป็นพวกรูปหล่อ รูปปั้นของเทพเจ้า ตามความเชื่อของหลายศาสนา หลากประเทศ ทั้งไทย ฮินดู จีน อินเดีย บางตนก็เป็นเหมือนตัวแทนของรูปปั้น ทางไสยศาสตร์เป็นต้นว่า ชูชก กุมารทอง นางกวัก ปลักขิก วางอยู่เต็มโต๊ะหมู่
ชายร่างผอมเกร็ง ผิวคล้ำ นุ่มขาวห่มขาว กำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนผ้าเบาะแพรสีแดงเข้ม เขาพนมมือก่อนจะเกร็งตัว ปากบริกรรมคาถาขมุบขมิบ
“หม่าม้า น้ำมนต์ที่อาจารย์โผนให้แคทมานี่ ดื่มได้ใช่ไหมคะ รอบก่อนแคทท้องเสียไปทีแล้ว น่าจะน้ำมนต์อาจารย์โผน”
หญิงสาวผิวขาว ค่อนข้างอวบ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ไว้ผมยาวถักเปียไว้ขมวดเป็นมวย ก่อนจะติดกิ๊ฟท์รูปโบว์สีหวาน เธอแต่งกายด้วยเสื้อสีชมพูผ้าชีฟอง แขนตุ๊กตา ยิ่งเน้นผิวให้ขาวสว่าง สวมกางเกงขาสั้นสีขาว นั่งพับเพียบข้างหญิงวัยกลางคน ที่แต่งกายคล้ายลูกสาว คือเสื้อคอจีนผ้าไหมสีชมพู กางเกงขายาวสีขาว หญิงทั้งคู่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน หากแต่ผู้อาวุโสกว่านัยน์ตายาวรีเล็กกว่า
“เงียบๆ อาจารย์กำลังท่องคาถาสะเดาะเคราะห์ให้นะอาหมวย จุ๊ๆ”
แคท หรือ ภาสวรรณย่นจมูก เธอมองไปรอบๆ ห้องทำพิธี ควันธูปที่มารดาและเธอจุด รวมถึงบรรดา ‘ลูกศิษย์’ ของอาจารย์โผน เล็งไม่พลาด มาจุดไว้คนละเก้าดอก เมื่อพวกเธอทั้งสองเป็นลูกค้าคนสุดท้าย ปริมาณของมันจึงมากมหาศาล จนแทบจะกลายเป็นมหกรรมรมควันธูปกันเลยทีเดียว เธอสูดจมูกฟุดฟิดอย่างแสบๆ แล้วพนมมือพลางก้มหน้าตามมารดา ที่ดูเหมือนจะตั้งอกตั้งใจ กับพิธีกรรมของชายร่างผอมชุดสีขาวตรงหน้านี้มาก
“เอาล่ะ พ้วง พ้วง พ้วง หมดเคราะห์ หมดโศก ตัวเคราะห์จงหายไป ปู๊ดดด !”
ประโยคหลังเป็นเสียงอมน้ำแล้วบ้วนลงไปในขัน ก่อนจะส่งให้ภาสวรรณ ที่ทำหน้าแปลกๆ มองขันน้ำมนต์ของอาจารย์โผนอย่างลังเล จนมารดาต้องหันมาพูดเสียงเข้มใส่
“อาหมวย รับสิ จะได้หมดเคราะห์”
“ค่ะ หม่าม้า”
ภาสวรรณจำใจเอื้อมมือรับขันน้ำมนต์มา ขณะที่ก้มคอเสื้อตัววีของเธอมันถ่วงลง ทำให้อาจารย์ที่นั่งแสร้งทำหน้าขรึม อดเหลือบมองไม่ได้ (ก็เล่นขาว สวย หมวย เสียขนาดนี้) พลางกระแอม แล้วแสร้งทำเสียงดัง ตามองจ้องคิ้ม มารดาของหญิงสาวตาเขม็ง คิ้มเองก็จ้องหน้าอาจารย็โผนแน่วแน่ อย่างตั้งอกตั้งใจฟัง ตาแป๋วเลยทีเดียว
“ดื่มน้ำมนต์นี่ไป รับรองว่าเคราะห์ของแม่หนู จะหายไปในพริบตา อาจารย์ถอดร่างไปโคจรรอบโลก และบนสวรรค์มา บอกกับเทวดาแล้วเรียบร้อย บุญเก่าของแม่หนูมีเยอะ ต่อไปนี้จะมีแต่ความสุข”
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมดังขึ้น เมื่ออาจารย์โผน พูดถึงประโยคนี้ เขาหันขวับไปมองต้นเสียง ชายร่างค่อนข้างท้วมที่นั่งเงียบอยู่ข้างตัว ทาปากแดงเหมือนเกอิชาญี่ปุ่น หน้าขาววอก จนเห็นแต่ปากลอยเด่นออกมา ไม่สวมเสื้อโชว์พุงพลุ้ย สวมโจงกระเบนสีทอง นั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ ขยิบตาให้กับเขา อาจารย์โผนรับรู้ถึงความนัยนั้นทันที
“ไม่สิ เคราะห์จะมาเป็นคราวๆ ไป แต่ก็ไม่ค่อยบ่อยนักหรอก ถ้าอาจารย์ถอดร่างโคจรออกไป เจอเจ้ากรรมนายเวรของหนู จะรีบไปบอกเลยทันที ต่อไปนี้ไม่ต้องดื่มน้ำมนต์แล้ว แค่มาทำพิธีซื้อเคราะห์ จากเจ้ากรรมนายเวรก็พอแล้ว”
“อ้อค่ะ ถ้าไม่ได้อาจารย์ เห็นทีอาหมวยจะแย่”
คิ้มที่นั่งพนมมือแต้ ยิ้มกริ่ม สายตามองคนตรงหน้าอย่างศรัทธาลึกซึ้ง ตอนแรก กิมเน้ย เพื่อนร่วมวงเล่นไพ่นกกระจอกของเธอ ชวนมาสำนัก ม้าทรงดาวหาง ของอาจารย์โผน เล็งไม่พลาด กิมเน้ยบอกว่าศักดิ์สิทธิ์มาก นางเองก็ไม่ใคร่อยากจะเชื่อ แต่พออาจารย์ทักว่า นางจะมีลาภกับเคราะห์มาพร้อมๆ กัน รับรองว่าภายในสามวันเจ็ดวันนี้แน่ๆ เพราะท่านถอดร่างโคจรอยู่บนสวรรค์ เทวดากระซิบบอกมา คิ้มก็ยังไม่เชื่อ จนอีกวันรุ่งขึ้น นางก็ถูกล็อตเตอรี่เลขท้ายสองตัว อารามดีใจเลยจะวิ่งลงบันไดบ้าน มาบอกภาสสามี เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ถูกสลากเลขท้าย ความรีบร้อนทำให้คิ้มตกบันได ขาแพลงไปหลายวัน เมื่อกิมเน้ยรู้เรื่องก็รีบมาเยี่ยมถึงบ้านทันที
‘เห็นไหมล่ะ อาคิ้ม อาจารย์พูดเมื่อวาน ไม่ผิดจริงๆ’
‘อุ๊ย ท่านแม่นจริงๆ ทักปุ๊บ แม่นปั๊บ มหัศจรรย์แท้ๆ’
คิ้มเองก็ทำตาโตไม่แพ้เพื่อนรัก กินเน้ยเลยรีบคุยถึงสรรพคุณของอาจารย์โผน เล็งไม่พลาด แห่งสำนักม้าทรงดาวหางอีกพะเรอเกวียน แต่ล่ะอย่างทำให้คิ้มทึ่ง ส่วนภาส ที่นั่งเฝ้าอาการของภรรยาใกล้ๆ ได้แต่ส่ายหน้าและถอนใจเฮือก
“สวรรค์ส่งอาจารย์มาให้ช่วยคน ก็ต้องช่วย เงินที่ลูกๆ เอามาให้ ก็เอาไปบริจาคต่อทั้งนั้น นี่ก็สร้างวัดที่อุบลอีกแห่งแล้ว”
อาจารย์โผนทำเสียงขรึมๆ ทำเอาคิ้มถึงกับตาโต หยิบกระเป๋าหนังสีดำราคาแพงข้างตัวทันที พร้อมกับควานหาสมุดเช็คออกมา ก่อนจะเซ็นจำนวนตัวเลขลงไปหนึ่งหมื่นบาท และฉีกพร้อมกับส่งให้คนตรงหน้า ด้วยความศรัทธาสุดหัวใจ
“ขอดิฉันบริจาคด้วยคนนะคะ อาจารย์”
“ขอบใจมาก ชาวบ้านคงจะดีใจ”
สายตาดำสนิทของเขา เป็นประกายวาวทีเดียว เมื่อเห็นจำนวนเงินในเช็ค ก่อนจะเก็บมันเหน็บไว้ตรงเอวอย่างดี
“ว่าแต่ว่า วันนี้มาจัดการเรื่องลูกสาวอย่างเดียวใช่ไหมลูก”
“อ้อ...คือดิฉันตั้งใจจะให้อาจารย์ ดูดวงลูกชายให้ด้วยน่ะค่ะ อยากจะรู้ว่าจะมีดวงเนื้อคู่ไหม ตอนนี้ก็อายุเยอะแล้วด้วยสิ”
“ส่งมาสิลูก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเอื้ออารี พลางหันมาหาชายร่างอ้วนที่นั่งข้างๆ
“กุมาร ไปหยิบตำรามาที”
“เจ้าค่ะ”
เสียงแหลมเล็กดังขึ้น จากคนที่อาจารย์โผนเรียกว่ากุมาร ร่างอ้วนหายเข้าไปในห้อง สักพักก็ออกมาพร้อมกับตำราหุ้มปกหนัง และแว่นตาสำหรับอาจารย์โผน
“นี่เจ้าค่ะ”
“รบกวนอาจารย์ด้วยนะคะ อยากให้ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาน่ะค่ะ” นางหยิบกระดาษที่จดวัน เดือน ปี เกิดของบุตรชายส่งให้ พร้อมกับมองอาจารย์โผนอย่างตั้งใจ ภาสวรรณเองก็ตั้งใจฟังเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องของพี่ชายที่เธอรักมาก
“ตามลักขณาราศีแล้ว ลูกชายของลูก เกิดในราศีสิงห์ ซึ่งเป็นธาตุไฟ เกิดวันอาทิตย์ อืม ดูจากวันเดือนปีเกิดแล้ว เอ...”
อาจารย์โผน แอบเหลือบมองใบหน้าของคิ้มและภาสวรรณ ที่พากันอ้าปากหวอ อย่างตั้งใจฟังกันเต็มที่ อาจารย์โผนจึงพยักหน้า พลางเอาปากกาในมือขีดๆ โยงเส้นไปมา ทำท่าเหมือนพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็น แล้วตบเข่าฉาด! ทำเอาสองแม่ลูกสะดุ้งอย่างตกใจ
“ได้การแล้ว! ปีนี้ลูกชายของลูก มีดวงเนื้อคู่แน่ๆ อายุ 29 แล้วใช่ไหม ดีๆ เลย เนื้อคู่จะเป็นเอ่อ...คนผิวขาว หน้าตาดี รวย สมฐานะกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่า อาจจะมีอะไรบังตานิดหน่อย ให้ไม่เจอกัน อาจจะต้องมาทำพิธีผูกเนื้อคู่”
“ว้าว ดีใจจริงๆ อาคีย์มีคู่ปีนี้แล้วอาหมวยเล็ก”
คิ้มหันมาหาลูกสาวอย่างดีใจ ภาสวรรณเองก็หัวเราะ เมื่อรู้เรื่องดวงของพี่ชาย เธอย่นจมูก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนมารดา
“แหม...พี่คีย์ขายออกนี่ หม่าม้าดีใจมากเลยนะเนี่ย”
เลยโดนมารดาแอบหยิกเอาเพราะหมั่นไส้ เธอหันมาถามอาจารย์โผนด้วยสายตาเป็นประกาย
“แล้ว อาจารย์ช่วยดูได้ไหมค่ะ ว่าจะเป็นคนอะไรยังไง อยู่ทางทิศไหน มันกว้างไปน่ะค่ะ ดิฉันอยากจะรู้”
“เอาอย่างนั้นเลยเหรอ แบบว่า ตาของอาจารย์ยังมองไม่เห็นมากนัก อืม...”
อาจารย์โผนทำเป็นหรี่ตา แล้วหลับตาวางหนังสือในมือลง ก่อนจะนั่งบริกรรมคาถาขมุบขมิบ ชายที่เป็นกุมารทองนั่งอ้วนท้วนข้างๆ รีบกระซิบบอกคิ้มทันที เมื่ออาจารย์โผนเริ่มสั่น
“อาจารย์ท่านถอดร่างไปดูถึงสวรรค์ให้เลยนะ เพื่อลูกศิษย์ ท่านทำได้ทุกอย่าง นี่ก็บ่นๆ เรื่องเหนื่อยนะ บางทีถอดร่างแบบนี้เหนื่อยมาก”
“เหรอค่ะ อุ้ยตาย ! งั้นไม่ดูแล้ว เอ่อ...สงสารอาจารย์น่ะค่ะ”
คิ้มหน้าซีด เมื่อกระซิบกระซาบกับกุมารทองร่างอ้วน ทาหน้าเหมือนเกอิชา ที่ภาสวรรณเห็นหน้ากุมารทองทีไร ก็อดจะหลุดขำไม่ได้สักที เธอเมินไปทางอื่น ก่อนจะกลั้นขำจนตัวสั่น
“ไม่ทันแล้ว อาจารย์ไปแล้ว คงจะไปดูให้ลูกชายของคุณนั่นแหละ กุมารก็อยากจะบำรุงร่างกายอาจารย์บ้าง เห็นบ่นเวียนๆ หัว พวกยาบำรุงที่เคยซื้อประจำกัน ก็หมดแล้วสิ”
“อย่างนั้นเหรอคะ”
คิ้มลังเลนิดหน่อย ก่อนจะเปิดกระเป๋าหนัง หยิบกระเป๋าเงินสีดำที่ทำจากหนังแท้ เข้าชุดกับกระเป๋าถือของนาง หยิบธนบัตรใบละพันออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วส่งให้กุมารทอง ที่เห็นเข้าถึงกับตาโต
“ฝากไปซื้อยาบำรุงให้อาจารย์ด้วยนะคะ กุมาร อาจารย์ท่านช่างดีจริงๆ”
“ขอบใจนะจ๊ะ”
กุมารทองรับเงินไปแล้วอมยิ้ม ก่อนจะคลานไปนั่งพับเพียบ ข้างอาจารย์โผนเหมือนเคย
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” อาจารย์โผนหยุดสั่น พลางเอามือวางบนตัก แล้วหันมาพูดเสียงขรึมๆ
“ได้เรื่องว่ายังไงคะอาจารย์”
คิ้มรีบถามอย่างอยากรู้เต็มที่ เธออยากให้บุตรชายแต่งงานแต่งการ และมีหลานให้เธออุ้มเร็วๆ เพราะตอนนี้คีตภัทรก็มีพร้อมทุกอย่างแล้ว
“คนไม่ใกล้ไม่ไกลน่ะแหละลูก คนลักษณะอย่างอาจารย์ว่า ก็ใช่เลย ลูกคิดดีๆ ว่าใครมีลักษณะที่ว่า ผิวขาว หน้าตาดี มีฐานะ ใช่เลย”
“โห...จะเจอไหมน่ะ”
ภาสวรรณเผลอพูดออกมา เลยโดนมารดาหยิกหมับจนได้ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์มือถือของนางจะดังขึ้น นางกดวางก่อนจะไหว้ลาอาจารย์ เพราะเห็นเวลาว่ารบกวนอาจารย์โผนนานแล้ว
“ลาเลยนะคะ ไว้ดิฉันจะลองคิดดูว่าลักษณะนี้ เป็นใครกันนะ”
“ไม่ไกล้ไม่ไกล ลูกก็รู้จัก คนนี้จะเกิดเกิดธาตุดิน อ้อ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อครู่นี้เทวดาท่านกระซิบมาว่า ให้ลูกชายของลูก ระวังเรื่องน้ำไว้นะ”
“อ้อค่ะ ขอบคุณมากนะคะอาจารย์ อาหมวยเล็ก ลาอาจารย์สิลูก พี่คีย์โทรมาแล้ว รอม้าอยู่หน้าสำนักแล้ว”
ภาสวรรณยกมือไหว้ลาอาจารย์โผน เจ้าของสำนักม้าทรงดาวหาง ก่อนที่สองแม่ลูกจะออกไปนอกประตูห้อง
“ได้ไปหลายเลยสิลูกพี่”
กุมารทองหน้าขาววอก ปากแดง หันมาหาอาจารย์โผน เมื่อไม่มีใครแล้ว ทั้งสองคนก็พูดจาเป็นปรกติ กุมารทองที่เคยทำเสียงเล็กแหลม ก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงห้าวทุ้ม
“เอ่อ ...”
อาจารย์โผน ของบรรดาลูกศิษย์ที่ตั้งให้เป็นอาจารย์ ทั้งที่ไม่ได้สอนอะไรใครเลย นอกจากมอมเมาไปวันๆ หัวเราะอย่างถูกใจ พลางเอาเช็คที่รับมาสดๆ ร้อนๆ จากคิ้มขึ้นมาจูบ
“หมื่นเลยนะมึง แล้วที่มันหยอดใส่ตู้อีกล่ะ ใบพันตั้งหลายใบ รอบนี้กูมั่วจนได้ดีว่ะ มีนังอาซ้อนี่เป็นลูกศิษย์ รวยไปเป็นชาติ มันเงินถุงเงินถังจริงๆ ก็ทักๆ มันไปงั้นแหละตามประสา ใครจะนึกว่ามันจะไปถูกหวย พร้อมกับตกบันได โชคมาพร้อมเคราะห์จริงๆ ว่ะไอ้เสริม”
“หรือลูกพี่จะมีพลังทำนายขึ้นมาจริงๆ น่ะพี่ ว่าแต่ที่มันให้เมื่อกี้ผมขอนะ สามสี่พันเอง ถือว่าส่วนแบ่งสำหรับวันนี้”
กุมารทอง หรือเสริมรีบว่า โผนพยักหน้า พลางหยิบเหล้าขาวที่กรอกใส่ขวด ซ่อนไว้แถวๆ นั้นมาจิบ เพื่อเพิ่มพลังความคึกให้กับตนเอง
“เอ่อ วันนี้กูได้เยอะ หยวนๆ ไปเที่ยวกันดีกว่าว่ะ ไปใช้เงินที่ได้มาง่ายๆ เสียหน่อย ไอ้เสริม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไปโคจรรอบคาเฟ่มั่งดีกว่าว่ะวันนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไปสวรรค์จริงๆ เสียที ดีกว่าสวรรค์ปลอมๆ ที่ต้องแกล้งว่าไปอีกนะโว้ย ไอ้เสริม”