หัวใจทมิฬ (85%)
หลังจากตรวจคนไข้เด็กเคสฉุกเฉินวิกฤตในช่วงหัวค่ำเสร็จ กุมารแพทย์สาวก็หมกตัวอยู่ในห้องพักเบรกแพทย์ที่ทางโรงพยาบาลจัดเอาไว้อย่างเป็นสัดเป็นส่วน ช่วงนี้เธอนอนไม่หลับติดๆ กันหลายคืน ทั้งที่เป็นคนคลั่งไคล้การนอนมากเป็นพิเศษ นั่นก็เพราะว่าฝันร้ายถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญในอดีตซ้ำๆ ทั้งที่คิดว่าทุกอย่างจะค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่การที่ได้พบปะกับจอมพล การถูกเขาตราหน้าด้วยวาจาโหดร้ายมันทำให้เธอกลับไปจมปลักอยู่กับห้วงความเจ็บปวดอีกครั้ง มันทรมานเหมือนจะขาดใจ จนสุดท้ายจำต้องพึ่งยานอนหลับ
“ไอ้ปี่…ไอ้ปี่…”
เสียงเอ่ยเรียกไม่อาจทำให้คนที่ถูกฤทธิ์ยานอนหลับเล่นงานแบบผิดที่ผิดเวลาตื่นแต่อย่างใด จนผู้ที่เพิ่งก้าวล่วงเข้ามาในห้องพักเบรกแพทย์ต้องเอ่ยเรียกซ้ำ พร้อมเขย่าตัวอีกฝ่ายแรงๆ
“ไอ้ปี่ มึงได้ยินกูไหม ตื่นสิวะ…”
“หือ…” คนที่นั่งกอดอกหลับแบบไม่รู้เรื่องทำเสียงงึมงำในลำคอ ก่อนจะค่อยๆ คลี่เปลือกตา ครั้นเห็นว่าเป็นเพื่อนรักอย่างธารธาราก็สะบัดศีรษะขับไล่ความง่วงงุน แล้วขยับนั่งในท่าที่สบายขึ้น
“มาแอบงีบอีกแล้วดิมึง ง่วงทำไมไม่กลับไปนอนวะ หรือว่ามีอยู่เวรต่อ”
“ไม่ได้อยู่เวรหรอก แต่เพิ่งตรวจเด็กเคสฉุกเฉินเสร็จ แล้วเพลียๆ นอนไม่หลับมาหลายวัน กะว่าจะพักสายตาสักหน่อย แล้วจะกลับไปนอนต่อที่คอนโด แต่ดันเผลอหลับไปว่ะ”
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าวะ เล่าให้กูฟังได้นะ”
“เปล๊า! กูไม่ได้เป็นไร นี่ไอ้ปี่คนแมนนะเว้ย กูเคยมีเรื่องไม่สบายใจเสียที่ไหน”
คนที่ทำเป็นเข้มแข็งแสร้งเอ่ยด้วยท่าทางร่าเริงติดจะตลกกลบเกลื่อนความเป็นจริง เพราะยังไม่พร้อมที่จะเล่าอะไรให้เพื่อนรักฟัง อีกทั้งไม่ต้องการรื้อฟื้นเรื่องราวแสลงใจเมื่อครั้งในอดีตที่เก็บเป็นความลับไว้อย่างมิดชิด แต่กระนั้นคนที่คบกันมานานหลายปีอย่างธารธารากลับรู้ทัน เพียงแต่ไม่อยากเซ้าซี้มากก็เท่านั้น ฉะนั้นเธอจึงทำเพียงเอื้อมมือมากุมหลังมือคนที่ตัวเองเพิ่งทรุดกายลงนั่งข้างๆ แล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“เออ…กูถามอะไรมึงหน่อยดิ ข้องใจว่ะ” อยู่ๆ ธารธาราก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และท่าทางใคร่รู้เสียเต็มประดาก็ทำให้คนที่เพิ่งตื่นเต็มตาทำหน้างงๆ
“อะไรของมึงวะ ดูท่าเหมือนคนขี้สงสัยเหลือเกิน”
“กูเห็นข่าวของไอ้จอมเมื่อเช้านี้ เขาเขียนข่าวว่ามันจะหย่ากับเมีย แล้วไปหมั้นกับลูกสาวท่านรัฐมนตรีสุชาติ”
ธารธาราเปิดประเด็นด้วยท่าทางปกติ แต่ยังไม่วายจับสังเกตท่าทีของเพื่อนรัก ทันใดนั้นเธอก็แลเห็นแววไหววูบในดวงตาว่างเปล่าคู่นั้น แต่แค่แวบเดียวก็จางหายไป
“ก็เรื่องของมันดิ”
ปิยฉัตรเอ่ยสั้นๆ เหมือนว่าสิ่งที่ตนได้รับฟังนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไร ทว่าลึกๆ ในใจกลับปวดแปลบ แต่ก็ดีแล้วล่ะในเมื่อเขาอยากหย่าเธอก็จะหย่าให้ เรื่องราวคาราคาซังจะได้จบๆ กันไป เมื่อเขาเจอคนที่คู่ควรเมียตีทะเบียนไร้ค่าอย่างเธอก็คงหมดความหมาย และชื่อมารดาของลูกในใบเกิดก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป มันคงถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องก้าวออกมาจากจุดนั้น หันหลังให้ความสันพันธ์ทั้งหมดที่เคยมีต่อกัน ความสัมพันธ์มันตัดกันได้ แต่ความผูกพันที่ยังคงฝังแน่นในใจมายาวนานหลายปีล่ะ เธอจะทำยังไง จะต้องตัดยังไงไม่ให้เหลือเยื่อใย
บางทีเธอควรเป็นฝ่ายเปิดเกมด้วยการส่งใบหย่าไปก่อน ไอ้เถื่อนจะได้คิดว่าเธอไม่ได้อาลัยอาวรณ์บ่วงพันธะอันเปราะบางนั่น หลีกทางให้เขาไปมีใครใหม่ โดยที่เธอจะไม่ขัดขวาง และพร้อมจะหันหลังให้ตลอดชีวิต ต่อให้ยังคงรักมากแค่ไหนก็ต้องกล้ำกลืนฝืนใจเป็นฝ่ายก้าวออกมา
“แล้วมึงไม่สงสัยเหมือนกูเหรอวะ ว่าเมียมันเป็นใคร ไอ้กูก็นึกว่ายัยอรอุมาที่ตายไปนั่นน่ะคือเมียมัน แต่ไอ้จอมวายร้ายนั่นดันมีเมียอีกเว้ย เอ๊ะ! หรือมึงรู้อยู่แล้วว่าเมียมันเป็นใคร”
การตั้งข้อสันนิษฐานในท้ายประโยคของเพื่อนรัก ทำให้คนที่กุมความลับมายาวนานหลายปีแทบหลุดสะดุ้งเฮือก ดีที่เธอยั้งใจไว้ได้ทัน และพยายามสวนกลับด้วยท่าทางซื่อๆ
“กูจะไปรู้เหรอ กูกับมันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเสียหน่อย”
“แล้วมึงว่าเมียมันจะยอมเซ็นใบหย่าให้มันไหมวะ” ธารธารายังไม่วายถามความคิดเห็น
“หย่าสิ! ผู้ชายร้ายกาจพรรค์นั้นใครจะไปทนไหว” ปิยฉัตรเผลอหลุดปากออกมาด้วยท่าทางขึงขัง และนั่นก็ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันขวับมามองหน้าอย่างจริงจัง
“เฮ้! ดูของขึ้นพิลึกว่ะ อย่าบอกนะว่ามึงมีเอี่ยวกับเรื่องนี้”
“เอี่ยวบ้าอะไรล่ะ! กูกับมันตัดขาดกันตั้งนานแล้วเว้ย” คนโดนจ้องจับผิดปฏิเสธอย่างฉับไว
“แล้วที่กูเห็นมึงร้องไห้ที่ชายหาดตอนไปงานเลี้ยงรุ่นคืออะไรวะ อย่าบอกนะว่าทรายเข้าตา” คราวนี้ธารธาราเริ่มไล่บี้อย่างจริงจัง ท้ายประโยคไม่วายดักทาง
“เออ…ก็ทรายเข้าตาไง จะอะไรล่ะ”
คนปากแข็งก็ยังพยายามแถไปอย่างเนียนๆ จนอีกฝ่ายถึงกับส่ายหัวเล็กน้อย แต่ไม่ซักไซ้ให้มากความไปมากกว่านั้น ที่ต้องถามเพราะธารธาราอดเป็นห่วงปิยฉัตรไม่ได้ กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งเพื่อนรักของตนจะต้องช้ำใจหนักเพราะจอมพล ผู้ชายคนเดียวที่มันเฝ้ารักไม่เสื่อมคลาย และต่อให้อีกฝ่ายเกลียดมันมากแค่ไหน เพื่อนรักของเธอก็คงมิอาจตัดใจได้ง่ายๆ มันแอบรักของมันมาหลายปี จะให้เลิกรักก็คงเจ็บไม่น้อย
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดคุยกันไปมากกว่านั้นเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ก้าวมาหยุดลงตรงหน้าประตู ก่อนที่ประตูจะถูกแง้มด้วยฝีมือผู้มาใหม่ที่ส่งเสียงมาแต่ไกล
“ที่รัก…คุยกับไอ้ปี่เสร็จยัง ลูกหมูสามตัวโทรมาตามพ่อกับแม่แล้วครับ”
ขาดคำร่างสูงสมาร์ทเต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่าผ่าเผยก็ปรากฏกายขึ้น ปรเมศยกมือเป็นเชิงทักทายปิยฉัตรด้วยท่าทางกวนๆ ก่อนจะเดินมาหยุดลงตรงหน้าเมียรัก ส่งยิ้มหวานหยดเจือละมุนละไม แล้วยีหัวคนที่ยังคงแต่งตัวออกไปทางทอมบอยไม่ต่างจากปิยฉัตรด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ
“คิดถึงจัง ไม่ได้กอดเมียตั้งหลายชั่วโมงแน่ะ”
ขาดคำคนที่ปรับโหมดจากหน้าตายเมื่ออยู่ต่อหน้าใครต่อใครมาเป็นผู้ชายแสนอบอุ่นก็โน้มตัวลงสวมกอดร่างระหงของเมียรัก จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นมาหอมแก้มเนียนซ้ายทีขวาที
“ถ้าจะหวานขนาดนั้น กลับไปอ้อนกันที่บ้านเถอะว่ะท่านผู้อำนวยการ”
ปิยฉัตรเอ่ยแขวะอย่างอดใจไม่ไหว แต่แทนที่จะสะทกสะท้านท่านผู้อำนวยการหนุ่มกลับก้มลงหอมแก้มเมียฟอดใหญ่ แล้วยักคิ้วให้อีกฝ่ายอย่างหน้าตาเฉย
“อิจฉาก็หาผัวดิวะ”
“ไม่ได้อิจฉา แต่เหม็นเบื่อคนมีความรักโว้ย”
ปิยฉัตรย่นจมูกใส่คนที่กำลังยืนโอบไหล่เมียอยู่ไม่ห่าง แล้วก็ต้องอ้าปากค้างกับความหน้ามึนของปรเมศ เมื่อเขาก้มลงหอมหน้าผากเมียโชว์ตบท้าย จนธารธาราที่หน้าแดงอยู่แล้วถึงกับอายม้วน
“จะใช้ห้องต่อใช่ไหม…งั้นกูไปล่ะ”