๙
“อิ่มแล้วหรือ”
“อิ่มแล้ว” พูดจบก็เดินไปนั่งดูทีวีปล่อยให้ภรรยาจัดการเก็บโดยมีสร้อยเป็นคนช่วย
นิทราไปหยิบผลไม้ในตู้เย็นให้เขา
“กินผลไม้หน่อยไหม”
ตอนนี้แม้จะแน่นแต่เพราะผลไม้ดูน่ากิน จึงไม่ปฏิเสธ เขานั่งกินผลไม้ไปดูละครไปด้วย แม้จะเป็นเวลากว่าห้าทุ่มละครก็ยังไม่จบทำเอาสร้อยต้องดูต่อเรื่องกำลังเข้มข้น นิทราเองก็นั่งถักนิตติ้งเพราะเห็นสามีสนใจละครเหลือเกิน
“ชอบเรื่องนี้หรือ” เห็นดูไม่กะพริบตาเชียว
พสุหันมามอง
“เปล่า ก็ดูไปงั้น” ที่จริงอาหารยังไม่ย่อยเขาเลยไม่อยากขึ้นไปบนห้อง ละครก็สนุกดีดูเพลินก่อนหันมาเห็นนิทรากำลังถักเสื้อ
“นั่นถักอะไร”
“ถักเสื้อ พสุชอบไหม”
เขาเกือบพยักหน้าแล้วแต่ต้องชะงัก
“ไม่ชอบ” ปฏิเสธเสียงแข็ง
นิทราก็หน้าหงอยลงไปทันที สร้อยที่ดูหนังหันมามองด้วยความไม่ชอบใจที่คุณเล็กว่าแบบนั้น
..พี่นิทอุตส่าห์นั่งถักทั้งวันมาพูดแบบนี้คนเขาเสียน้ำใจแย่
พสุนั่งกินไปได้สักพักก็ขึ้นห้องนิทรารอจนกว่าละครจบค่อยตามเขาขึ้นไป เห็นอีกฝ่ายกำลังอาบน้ำจึงหาผ้าห่มกับหมอนมานอนที่โซฟาจนกระทั่งเขาออกมาเห็นเธอล้มตัวลงนอน
“ทำไมไปนอนตรงนั้น” ถามด้วยความสงสัยเขาไม่ได้ไล่เธอไปอย่างแน่นอน ถึงไม่ชอบก็ไม่ได้ใจจืดใจดำให้ผู้หญิงไปนอนโซฟา
“มันสบายดี” เธอไม่อยากนอนกับผู้ชายที่ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นมา เรื่องนี้ยังโกรธไม่หายไม่อยากจะนอนใกล้เขาด้วยซ้ำ
“ตามใจ ดีเหมือนกันฉันจะได้นอนสบาย”
นิทราไม่ตอบพสุเลยเดินไปปิดไฟล้มตัวลงนอน ไม่นานทั้งสองก็จมอยู่ในห้วงนิทราด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน
จนกระทั่งเช้าวันถัดมา นิทราตื่นเช้าเช่นเคยเพราะต้องทำอาหารและไปใส่บาตรพร้อมมารดา พสุได้ยินเสียงนิทราอาบน้ำก็ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียมองนาฬิกาก็พบว่าเพิ่งตีห้าครึ่ง ไม่ใช่เวลาตื่นของเขาเลยนอนต่อ
“ไปไหนน่ะ” ได้ยินเสียงเปิดประตูออกมาเขาก็ผงกศีรษะขึ้นถามทั้งที่ตาแทบจะลืมไม่ขึ้น
นิทรายิ้มเอ็นดูเหมือนเขาเป็นเด็กน้อย
“ทำกับข้าวใส่บาตร ไปด้วยไหม”
พสุส่ายหน้าพลางล้มลงนอนอีกครั้ง ร่างบางยิ้มขำก่อนเดินลงมาข้างล่าง ช่วยแม่บ้านทำอาหารเช้าก่อนจะเดินไปหามารดาที่บ้าน ช่วยกันถือของมาใส่บาตรแต่เช้าเหมือนทุกวัน
..ดีที่เธอแต่งงานกับพสุบ้านอยู่ใกล้กันมาหาแม่ตอนไหนก็ได้
“วันนี้แม่งานเยอะไหม” ตักบาตรเสร็จเดินเข้ามาเก็บของภาย ในบ้าน
“ไม่หรอก ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานเท่าไหร่” เห็นจะจริงอย่างที่ว่าเพราะห้องดูเรียบร้อยเหมือนไม่ได้ใช้งานหนัก
นิทราช่วยแม่เก็บกวาดห้องครัวสักพักแล้วค่อยเดินกลับบ้านใหญ่มาทันพอดีกับที่ทุกคนกำลังรับประทานข้าวอยู่หญิงสาวชะงักเมื่อเจอใครอีกคนนั่งตรงกลางระหว่างพสุและภมร
“มากินข้าวหนูนิท” คุณดิลกชวนลูกสะใภ้นิทรายิ้มตอบรับแล้วเดินมานั่งข้างคุณวรรณนภา
..วันนี้พสุแต่งตัวเรียบร้อยคงจะเข้าบริษัท
“ลินขอมาฝากท้องด้วยนะวันนี้” ลินดาเอ่ยทักเพราะรู้ว่าอาหารเช้านิทราเป็นคนทำ เธอยิ้มน้อยๆ “อาหารที่นิททำอร่อยจริงๆ” ลินดาเอ่ยชมไม่ขาดปาก
คุณวรรณนภาก็ชวนสาวตรงหน้าคุยเพราะสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง
“เอาน้ำส้มคั้นมาสองแก้วนะ” พสุหันไปบอกสาวใช้ที่ยืนรออยู่
บรรยากาศบนโต๊ะดูกระอักกระอ่วนถ้าไม่ได้คุณผู้หญิงของบ้านชวนคุยคงเงียบ น้ำส้มสองแก้วมาเสิร์ฟตามที่คุณพสุสั่ง เขายื่นให้ลินดาที่นั่งข้างๆ อีกแก้วก็ดื่มเอง
“เราจำได้ว่าลินชอบ น้ำส้มอร่อยนะลองชิมดู” คำพูดนั้นทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักไป
นิทราก้มหน้ากินข้าวต้มพยายามไม่สนใจ
“ขอบใจจ้ะ” พสุยิ้มให้คนข้างกายแล้วดื่มน้ำส้ม
ภมรพยายามข่มอารมณ์เอาไว้รู้ว่าน้องพยายามยั่วโมโหเขา ลินดาเองก็ทำอะไรไม่ถูกจึงยกน้ำส้มดื่มด้วยความอึดอัด ทั้งมองนิทราอย่างสงสารที่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่สนใจแต่แววตาฉายความเจ็บปวด เมื่อทานข้าวหมดสามคนก็ต้องไปทำงาน
“ลินไปกับเราไหม” พสุยังไม่ปิดสงครามครั้งนี้ เขาถามขึ้นเมื่อดื่มน้ำเสร็จ
“ลินจะไปกับพี่ ไปกันเถอะ” ภมรเอ่ยเสียงนิ่ง เขาหายใจเข้าออกเป็นจังหวะระงับความโกรธที่แล่นขึ้นมาเมื่อมองหน้าพสุแล้วอีกฝ่ายยิ้มมุมปากให้เขา แววตาเย้ยหยันเต็มที่
“ลินไปกับผมทุกครั้ง คราวนี้ทำไมต้องไปกับพี่” ถามอย่างยียวนเพราะรู้ว่าพ่อกับแม่ยังไม่รู้เรื่องพี่ชายคบกับลินดา
ฝ่ายหญิงสาวก็นั่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก แอบจับมือภมรไว้ให้เขาใจเย็น
“จะไปกับใครก็ให้หนูลินตัดสินใจเองเถอะ” คุณวรรณนภาเอ่ยขัดขึ้น มองบุตรชายทั้งสองด้วยความสงสัยไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้ทำให้เกิดบรรยากาศอึดอัดขึ้นได้
นิทราวางช้อนลงมองพสุด้วยแววตาตัดพ้อทำเอาคนถูกมองต้องเบือนหน้าหนี
“ลินว่าไง” เขาหันมาถามลินดาที่ยังคงนั่งนิ่ง เธอมองภมรก่อนจะหันไปบอกพสุ “ลินไปกับพี่ภมร”
..ในที่สุดเขาก็ไม่ใช่คนที่ถูกเลือกอีกเช่นเคย
ร่างสูงลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าและสูทเดินออกไปจากห้องอาหารทันที
นิทราลุกตามเขาไม่ลืมเข้าไปหยิบกล่องอาหารกลางวันให้เขาด้วย พสุหัวเสียเดินขึ้นรถท้องไส้ก็ดูจะปั่นป่วนเหมือนต้องการจะเข้าห้องน้ำตลอดเวลา
“เดี๋ยวพสุ ข้าวกลางวัน”
“ไม่เอา วันหลังไม่ต้องทำไม่ได้ ต้องการเลยสักนิด” เพราะหงุดหงิดจากเรื่องเมื่อครู่เขาใส่อารมณ์กับนิทราโดยไม่ได้ตั้งใจจนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดสำนึกด้านดีก็เริ่มทำงานบ้าง เขาอึกอักอยากยื่นไปรับแต่ก็ต้องกำมือไว้แน่น
..เขาต้องใจแข็งผู้หญิงคนนี้ทำให้ชีวิตเขาพังไม่ใช่หรือ
“เข้าใจแล้ว” มือบางลดกล่องลง มองหน้าเขาพยายามฝืนยิ้มให้ “ขับรถดีๆนะ” คำพูดเพียงประโยคเดียวกลับทำให้เขารู้สึกผิดเหลือเกิน
พสุมองอีกคนพยักหน้าช้าๆ ค่อยเดินไปยังรถของตัวเอง ขับออกไปมองกระจกหลังที่นิทรายืนโบกมือให้เขา แปลกที่แวบหนึ่งของความรู้สึกเขากลับยินดีที่มีคนมาส่งไปทำงานทุกเช้าแบบนี้ก่อนจะไล่ความคิดนั้นออกไป
..ผู้หญิงคนนั้นร้ายจะตายเขาจะใจอ่อนให้กับเธอไม่ได้เด็ดขาด
“ว่ายังไงนะ”
นิทราที่เดินเข้ามาภายในห้องอาหารชะงักเมื่อพบว่าบรรยากาศดูจะเคร่งเครียดไป
“ผมกับลินคบกันครับ” คุณวรรณนภาเอามือทาบอก่อนถามเสียงสั่น “นานเท่าไหร่แล้ว” ตอนนี้เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ เข้า หากัน
“ก่อนพสุจะแต่งงานกับนิทครับ” ลินดาจับมือแฟนหนุ่มแน่นเพื่อให้กำลังใจ
บุพการีทั้งสองยังคงเงียบราวกับจับต้นชนปลายไม่ถูก พสุไปมาหาสู่กับลินดาจนคิดว่าจะตกล่องปล่องชิ้นกันหากเรื่องกลับตาลปัตรเป็นลินดาคบกับภมรเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยวแม่ขอเวลาทบทวนก่อนนะ”
..เพราะว่าสองคนนี้คบกันลูกชายเธอรู้เลยช้ำกินเหล้าเมาไม่ได้สติจนขืนใจนิทราต้องแต่งงานกันอย่างนั้นใช่ไหม
คุณแม่ที่ดูละครมาเยอะปะติดปะต่อเรื่องได้เป็นฉากก่อนถอนหายใจมองคู่ชีวิตของเธอ
“คุณว่าอย่างไรคะ”
อดีตประธานบริษัทนิ่งคิดมองหน้าชายหญิงรุ่นลูก
“จะว่าอย่างไรได้ล่ะ คบกันก็อยู่ในขอบเขตแล้วกันนะ”
เมื่อประมุขใหญ่ของบ้านเอ่ยภมรก็ยิ้มออกมาทันที เขาหันไปมองแฟนสาวของตนเองด้วยความปลาบปลื้ม
“ขอบคุณค่ะ คุณลุงคุณป้า” หญิงสาวพนมมือไหว้ด้วยไม่คิดว่าท่านจะเมตตาอีกครั้งหลังทำให้บุตรชายคนเล็กผิดหวังทั้งยังมาควงบุตรชายคนโตอีก
คุณวรรณนภายิ้มให้สาวอีกคนที่ตนเอ็นดู เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้ ท่านดูออกว่าลินดาไม่ได้ชอบพอกับพสุเกินไปกว่าเพื่อนมีแต่ลูกชายเธอเท่านั้นที่คิดไปฝ่ายเดียว
..โง่เหลือเกินลูกคนนี้ ไม่ได้ดั่งใจแม่ไปเสียทุกเรื่อง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำงานได้แล้ว จะสายเอา”
ทั้งสองจึงพากันลุกขึ้นเดินออกไปทำงาน นิทรายิ้มให้คู่รักด้วยความยินดี ไม่คิดว่าภมรกับลินดาจะคบกันอดสงสารพสุไม่ได้ที่ผิดหวัง
..เป็นอย่างนี้เองหรือวันนั้นเขาถึงได้เมามายเหลือเกิน
คิดก็อดสงสารไม่ได้ สงสารทั้งชายหนุ่มและตัวเธอเองที่ติดอยู่ในห้วงแห่งรัก ออกมายากเหลือเกิน
พสุนั่งทำงานได้สักพักก็ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ เป็นอย่างนี้ประมาณสี่รอบ หน้าเขาเริ่มซีดจนน่าเป็นห่วงดีที่เอกสารมีไม่มากเขาจึงคิดว่าจะกลับบ้านก่อนเวลาเลิกงานเพราะหากทนอยู่ต่อก็คงไม่ไหว มันปวดจนไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งปวดหนักแล้วเหมือนจะอ้วกด้วย
จนกระทั่งเลขาสาวนำอาหารเที่ยงมาให้ก็สังเกตอาการของเจ้านายได้ เธอรีบพาเขาไปโรงพยาบาลทันที ระหว่างทางพสุก็พยายามอดกลั้นไว้เหมือนจะปวดหนักตลอดเวลา เขาอ้วกออกมาระหว่างทางดีที่มีถุงพลาสติกไม่อย่างนั้นต้องได้อ้วกใส่รถแน่
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาล ทำเรื่องรอสักพักก็ได้เข้าตรวจ หมอต้องนำผลเลือดของเขาไปตรวจเพราะอาจติดเชื้อระหว่างนี้ให้พสุนอนรอที่ห้องตรวจก่อน
“ว่ายังไงตาใหญ่” คุณวรรณนภาที่กำลังนั่งดูละครอยู่กับแม่บ้านรับโทรศัพท์เห็นว่าเป็นลูกชายคนโต
“เล็กอยู่โรงพยาบาลนะครับแม่ หมอบอกว่าอาหารเป็นพิษต้องนอนให้น้ำเกลือ” ได้ยินอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ตกใจเสียยกใหญ่
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่ไปหาน้อง โรงพยาบาลไหนลูก” ลูกชายบอกรายละเอียดก่อนจะวางสายไป คนเป็นแม่ก็แสนจะเป็นห่วงรีบเดินไปบ้านข้างๆ ที่ลูกสะใภ้อยู่เพราะต้องช่วยงานตัดเย็บของคุณยลลดาถึงแม้จะไม่รีบแต่ก็ต้องทำไปเรื่อยๆ
เข้ามาภายในบ้านเห็นแม่ลูกช่วยกันทำตัดเสื้อก็รีบบอกลูกสะใภ้
“หนูนิทลูก ตาเล็กอาหารเป็นพิษตอนนี้นอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล”
ได้ยินอย่างนั้นนิทราก็ตกใจเป็นห่วงสามีของตนเอง ร่างบางเก็บของที่กำลังทำอยู่ในขณะนั้น
“แม่ให้แซมมารอที่หน้าบ้านแล้ว เราไปกันเถอะ”
นิทราไม่ได้เอาของอะไรไปมากมายนอกจากกระเป๋าเล็กที่ใส่เงินและโทรศัพท์เท่านั้น เธอก้าวขึ้นรถไปพร้อมกับคุณวรรณนภามีคุณยลลดาขึ้นไปด้วย หญิงต่างวัยทั้งสามมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลใกล้บริษัทที่วิจิตรประภาถือหุ้นอยู่ด้วย หากเมื่อถึงแล้วก็พบกับภมรที่รออยู่หน้าห้องกับคุณดิลกที่เข้ามายังบริษัทตอนสาย
“เป็นอย่างไรบ้างคะคุณ”
“อาหารเป็นพิษต้องนอนให้น้ำเกลือไม่เป็นอะไรมากหรอก”
แม้จะได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนเป็นแม่สบายใจได้เลยจนกระทั่งเข้าไปหาบุตรชายในห้องพิเศษเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดก็ยิ่งสงสาร
นิทราเดินตามเข้ามาเป็นห่วงเขาเหลือเกินยิ่งใบหน้าหล่อคมที่มักจะมีสีแต้มอยู่เสมอตอนนี้ซีดอย่างน่าสงสารก็ใจสั่น เดินเข้าไปใกล้จับมือหนาเอาไว้
“แล้วทำไมท้องเสียหนักขนาดนี้นะ” คุณวรรณนภาลูบศีรษะบุตรชายเห็นหลับก็ไม่อยากกวนมากคงจะเพลียน่าดู
“นิทขอโทษนะคะที่ไม่ได้ดูแลพสุ” อดรู้สึกผิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเพราะตนเองเขาจึงท้องเสีย นิทราจับมือเขาแน่นโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง หรือจะเป็นอาหารเที่ยงของเธอที่เสียก่อนเขาจะทาน หรือเพราะอาหารที่บ้านตอนเย็น
“ไม่เกี่ยวกับหนูหรอก ตาเล็กอาจจะไปกินอะไรผิดสำแดงที่ทำงานมา” คุณดิลกไม่อยากให้ลูกสะใภ้โทษตนเอง
“ใช่ ตาเล็กชอบกินไม่เลือก คงไปกินอะไรผิดสำแดงมาแน่เลยลูกชายคนนี้” ตอนเช้าก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรให้เห็นเลยสักนิด
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองแล้วคุณดิลกและภรรยา เห็นว่าลูกชายไม่ได้เป็นอะไรมากจึงกลับไปพักผ่อนแล้วจะมาหาในตอนเย็น
นิทราอาสาเฝ้าเขาเองเผื่อตื่นขึ้นมาต้องการอะไร ทุกคนจึงกลับไปทำหน้าที่ของตนเองมีเพียงภรรยาที่นั่งเฝ้าสามีไม่ยอมห่าง จนกระทั่งเขาตื่นขึ้นในเวลาเย็น
“ขอน้ำ” ลืมตาขึ้นมาเขาก็มองซ้ายขวาเห็นนิทรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาก็เอ่ยเสียงแผ่วเนื่องด้วยไม่มีแรงแม้จะเปล่งเสียงออกมา
นิทรารีบลุกขึ้นด้วยความดีใจนั่งเฝ้ามาหลายชั่วโมงจนกระทั่งเขาตื่นขึ้นมา หยิบเหยือกน้ำข้างเตียงรินใส่แก้วหยิบหลอดให้เขา
พสุที่ตอนนี้อยู่ในชุดโรงพยาบาลก็ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมาดื่มน้ำจนกระทั่งรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ดีขึ้นไหม”
อีกฝ่ายพยักหน้านอนลงตามเดิมรู้สึกหน่วงท้องแต่ก็ไม่ได้ปวดเหมือนครั้งแรก ไม่ได้รู้สึกอยากอ้วกแล้ว
“ฉันเป็นอะไร”
“อาหารเป็นพิษ ไปกินอะไรมาทำไมเป็นหนักขนาดนี้”
พสุนึกไปถึงอาหารเมื่อคืนที่เขากิน ข้าวกล่องของเธอนั่นเอง ตอนกินก็ว่ารสชาติมันแปลกแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อคืนเขาก็ปวดท้องหน่วงๆ เข้าห้องน้ำไปสองรอบจนกระทั่งมาออกอาการตอนเช้า
“ถามมาก รำคาญ” ไม่กล้าบอกว่ากินอาหารของเธอจึงพูดตัดบทแม้ใจจริงจะไม่อยากตอบแบบนั้นแต่ก็พูดไปแล้วจึงได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจเมื่อเห็นใบหน้าหวานหงอยลง