๔
เวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านไปนิทรายุ่งกับการเตรียมชุดแต่งงานของตนเองและเจ้าบ่าวโดยเธอเป็นคนออกแบบและตัดชุดเอง
คุณวรรณนภาเป็นธุระเรื่องการวัดตัวพสุก่อนจะเอามาให้เธอตัดชุด ร่างบางอมยิ้มน้อยๆ เมื่อมองชุดเจ้าบ่าวซึ่งกำลังจะเสร็จด้วยความปลื้มใจ เขากำลังจะได้ใส่ชุดที่เธอตัดให้ถือเป็นชุดผู้ชายชุดแรกเลยก็ว่าได้ที่เธอตัด
“พักก่อนไหมนิท” คุณยลลดาถือแก้วโอวัลตินมาวางไว้ข้างกายลูกสาวหลังจากเห็นหล่อนทำงานหนักมาหลายวันแล้ว
นิทราตัดชุดเจ้าสาวเสร็จเรียบร้อยทั้งชุดงานหมั้นและงานฉลองตอนเย็น ตอนนี้จึงเหลือชุดเจ้าบ่าวที่ต้องตัดทั้งสองชุด พอนางอาสาจะช่วยลูกสาวก็ปฏิเสธเพราะอยากทำให้เจ้าบ่าวด้วยตัวเอง
“ไม่ค่ะแม่ ชุดหมั้นใกล้เสร็จแล้ว เสร็จค่อยพักก็ได้” แม้เป็นเวลากว่าเที่ยงคืนเธอก็ยังคงนั่งทำงานอยู่ที่เดิม “แม่ไปนอนเถอะค่ะ นิทยังไหว”
เห็นหน้าซีดเซียวของลูกสาวแล้วก็อดบ่นว่าที่ลูกเขยในใจไม่ได้ อีกฝ่ายไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายเข้ามาที่บ้านของเธอเลย ใจจริงถ้าฝ่ายชายไม่เต็มใจเธอก็ไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานด้วยแต่เพราะน้องคนสนิทคะยั้นคะยอจะรับผิดชอบเธอก็เลยไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธทั้งยังกลัวลูกสาวอับอายอีกด้วย
“จ้ะ แม่รักลูกนะ” คุณยลลดาเข้ามาหอมศีรษะลูกรักของนาง มีคนเดียวรักปานแก้วตาด้วงใจ
“นิทก็รักแม่ค่ะ” สองแม่ลูกยิ้มให้กันก่อนคนเป็นแม่จะเดินขึ้นไปบนบ้าน
นิทรายังคงนั่งทำงานต่อจนกระทั่งชุดเจ้าบ่าวเสร็จเวลาตีสาม และตอนนี้เธอก็ง่วงเกินกว่าจะเดินขึ้นไปนอนบนบ้านจึงหลับที่โซฟาแทน
เพราะกลิ่นอาหารแสนหอมของแม่ปลุกเจ้าหญิงของบ้านให้ตื่นจากฝัน นิทราลุกขึ้นบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยจากการพักผ่อนใบหน้าหวานแม้ไร้เครื่องสำอางก็ยังคงน่ามอง
“ใส่บาตรหรือคะ”
“จ้ะ ลูกก็ไปล้างหน้าล้างตามาใส่บาตรได้แล้ว”
ร่างบางส่งยิ้มกลับมาก่อนเดินขึ้นไปอาบน้ำให้สดชื่นแล้วลงมาข้างล่างด้วยชุดเสื้อแขนตุ๊กตากับกระโปรงสีสดใสยิ่งทำให้หล่อนดูเด็กลงกว่าอายุจริงอยู่มากโข มองดูนาฬิกาเป็นเวลากว่าหกโมงครึ่งจึงเข้าไปช่วยแม่ยกถาดออกมาหน้าบ้าน
“พี่ลดาใส่บาตรด้วยกันเลยนะคะ”
เดินออกมาหน้าบ้านนิทราก็ต้องตกใจกับเสียงอันคุ้นเคย พอหันไปมองก็สบตากับพสุพอดี ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยมาใส่บาตร วันนี้แปลกที่เห็นเขายืนข้างมารดาคงเป็นเพราะโดนบังคับหน้าจึงดูเหมือนเด็กถูกขัดใจขนาดนั้น
“ไม่นึกว่าวรรณจะมาด้วย”
“ตาพสุอยากมาค่ะ มาเร็วลูก ยกของมาทางนี้” มองดูก็รู้ว่าคำพูดของคนเป็นแม่นั้นไม่น่าเชื่อเลย
ลูกชายเดินหน้ามุ่ยถือของมายืนข้างมารดา
“ตายแล้วไปยืนข้างน้องสิ มายืนข้างแม่ทำไมจะมีเมียอยู่แล้ว”
คำพูดของคนเป็นแม่ทำให้พสุอยากจะวางของทั้งหมดลงแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านเหลือเกิน ต่างจากนิทราที่เขินหน้าแดงไปหมด
“ผมอยากยืนตรงนี้”
เมื่อเห็นลูกชายไม่ได้ดั่งใจก็อดชักสีหน้าใส่ลูกคนเล็กไม่ได้ก่อนนางจะเป็นคนเดินไปคล้องแขนพี่สาวคนสนิทมายืนด้วยกันแล้วดันลูกชายให้ไปยืนข้างหญิงสาว
“เอาของมาเดี๋ยวแม่จะใส่บาตรกับป้าลดา ลูกก็ใส่บาตรกับหนูนิทนะ”
ของในมือเขาตกไปอยู่ในมือมารดาเรียบร้อย แม้จะไม่ชอบใจแต่ก็ไม่สามารถแสดงอาการอะไรออกไปมากนัก เนื่องจากยังเกรงใจมารดาของตนและมารดาของนิทราอยู่มาก เขาจึงหันมาลงกับหญิงข้างกายแทน
“เอามาจะถือ” แทบเรียกได้ว่ากระชากออกมาจากคนตัวเล็กกว่าแถมเขายังชักสีหน้าไม่พอใจใส่เธออีกด้วย คนตัวสูงโน้มหน้าลงมากระซิบข้างหูเธอ
“เพราะเธอคนเดียวที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยากขนาดนี้ ฉันเกลียดเธอ” ตอกย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าหวานซีดลงก็รู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง เขายิ้มร้ายด้วยความพอใจกับผลงานที่ทำให้เธอเสียใจในวันนี้
นิทราพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาข่มความเจ็บให้ลึกลงไปเมื่อพระกำลังมา
เธอถอดรองเท้าออกพอหันไปมองพสุยังใส่อยู่จึงสะกิดบอก
“ถอดรองเท้าด้วย” แต่เขาถือทิฐิเมื่อเธอบอกก็ไม่เชื่อทำหน้าเฉย นิทราต้องข่มความโมโหเอาไว้แล้วบอกเขาอีกครั้ง“ถอดรองเท้าด้วย”
“ทำไมต้องถอด” เขาหันมายียวน
“เพื่อให้ความเคารพในพระภิกษุ พระภิกษุถอดรองเท้าบิณฑบาตเพราะเคารพในทานของเรา ส่วนเราเองก็ถอดรองเท้าเพื่อให้ความเคารพกับพระภิกษุซึ่งมีศีล๒๒๗ข้อ”
หากเป็นเมื่อก่อนที่เขายังไม่มีเรื่องหมางใจกับเธอคงปรบมือให้กับคำตอบที่น่าทึ่งไปแล้วแต่เมื่อเป็นเวลานี้จึงทำเพียงยักไหล่แล้วถอดรองเท้าออกเท่านั้น ดีที่วันนี้เข้าบริษัทบ่ายเขาจึงใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนรองเท้าแตะธรรมดา
“นั่งลงด้วยสิ” เพราะถือเสมอว่าไม่ควรยืนเสมอท่านเธอและมารดาจึงนั่งลงใส่บาตร
พสุที่ไม่ค่อยเข้าวัดทำบุญจึงดูเงอะงะคอยมองดูนิทราตลอด เขาถือข้าวให้เธอตักข้าวใส่บาตรพร้อมอาหารที่ใส่ถุงเรียบร้อยก่อนวางดอกกล้วยไม้ เมื่อใส่เสร็จก็รับพร
นิทราแอบอมยิ้มด้วยความสุขเมื่อได้ใส่บาตรกับเขาเป็นครั้งแรก
“หนูนิทได้ข่าวว่าตัดชุดเจ้าสาวเจ้าบ่าวเสร็จแล้วหรือลูก” เมื่อใส่บาตรเสร็จคุณวรรณนภาเอ่ยถามขึ้นมา
นิทรายิ้มรับ
“ใช่ค่ะคุณน้า”
“อย่างนั้นดีเลย ไปลองชุดกัน”
พสุได้ยินก็รีบขัดขึ้นมา
“แม่ครับผมต้องไปทำงานนะ”
“บ่ายโมงไม่ใช่หรือไง ตอนนี้มาลองชุดก่อน”
ชายหนุ่มจะชักสีหน้าใส่แม่ก็ไม่กล้าเลยหันไปมองดุใส่นิทรา
“แต่ผมง่วง ผมจะกลับไปนอน” โดนบังคับให้ลุกมาใส่บาตรทั้งที่ปกติเขาตื่นเจ็ดโมงครึ่งด้วยซ้ำ พสุเลยมีหน้าตาไม่รับแขกตลอดเวลาในตอนนี้
“แม่บอกให้ไปลองชุดไงลูกรัก”
มาคำนี้เขารู้เลยว่ามารดาพยายามข่มใจมากแค่ไหน ถ้าเขาเป็นเด็กคงถือไม้เรียวมาหวดก้นเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้น่ากลัวกว่าคือการมองด้วยสายตาดุที่แทบจะเฉือนเขาเป็นชิ้นๆ
พสุจำต้องตอบรับ
“ครับแม่ ผมอยากลองมากเลย ดีใจจนตัวสั่นไปหมดแล้ว”
“ดีมากจ้ะลูกชายของแม่”
แล้วสองแม่ลูกก็เดินเข้าบ้านไปปล่อยให้คุณยลลดากับลูกสาวมองตามด้วยความขำ
..ตกลงนี่บ้านใครกันแน่
เมื่อเดินเข้ามาในบ้านที่เขาไม่ได้มานานล่าสุดก็ตอนมัธยมที่ให้นิทราช่วยแต่งกลอนวิชาภาษาไทยเพราะเขาแต่งไม่เก่งส่วนเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนตอนไม่ค่อยมีสตินั้นเขาไม่นับ
พสุมองกองเสื้อผ้าที่อยู่ห้องด้านซ้ายมือซึ่งเปิดประตูทิ้งไว้ก็อดจะเดินเข้าไปดูไม่ได้
“นี่หรือหนูนิทชุดเจ้าสาว”
ชุดของเธอถูกห้อยใส่ถุงไว้อย่างดี เป็นชุดไทยประยุกต์สีครีมกับชุดราตรียาวสีชมพูอ่อนแขนตุ๊กตาที่หญิงสาวชอบ ชุดจะออกแนวเจ้าหญิงในนวนิยายมากกว่าชุดเจ้าสาวเพราะเป็นความชอบส่วนตัวของคนตัด
“ใช่ค่ะ มันโอเคไหมคะ”
“สวยมากเลยจ้ะ” ได้ยินคำชมก็ยิ้มรับ
“น้าชอบนะ เหมือนชุดเจ้าหญิงเลย สวยคลาสสิค” เปิดดูฝีมือการเย็บก็แสนประณีต
“แต่ชุดงานเลี้ยงของพสุนิทยังไม่ได้ตัดเลยค่ะ ว่าจะเริ่มตัดวันนี้เลย”
พสุมองดูเงียบๆ เขาอดชมเธอไม่ได้ว่ามีฝีมือมากเสียจริง หากเป็นงานแต่งของเขากับลินดาคงให้เธอออกแบบตัดเย็บให้ชมว่าสวย แต่นี่มันไม่ใช่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
..ไม่ใช่งานแต่งของเขากับลินดาแต่เป็นงานแต่งของเขากับนิทรา ไม่เคยคิดว่าหล่อนจะทำแบบนี้ได้โดยไม่ได้เฉลียวใจสักนิดว่าคืนนั้นตนเองไปโดนอะไรมาจึงขาดสติขนาดนั้น
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ น้าเชื่อฝีมือของหนู มาลองชุดงานหมั้นก่อนลูก แม่จะได้ถ่ายรูปให้คุณพ่อกับเพื่อนๆ ของแม่ดู” คุณวรรณนภาจัดการทุกอย่างไม่มีใครโต้แย้งอะไร สองหนุ่มสาวไปลองชุด
พสุมองตนเองในกระจกก็อดทึ่งกับชุดที่หญิงสาวตัดไม่ได้ ใช้เวลาน้อยนิดแค่สองสัปดาห์ตัดชุดได้สวยขนาดนี้ราวกับแบรนด์ดังได้อย่างไร เขาเดินออกมาก็รอเธอก่อนจะตาค้างเพราะความสวยของเพื่อนข้างบ้านที่เขาไม่เคยมองเธอเกินเพื่อนเลย
“มันดูโอเคไหมคะ” เพราะไม่มั่นใจเมื่อเห็นทุกคนเงียบจึงเอ่ยถามขึ้น
“สวย สวยมากจ้ะหนูนิท น้านึกว่านางฟ้าที่ไหนเสียอีก”
ได้ยินแม่ยกยอเกินจริงก็อดยิ้มมุมปากเยาะเย้ยในใจไม่ได้
..นางฟ้าตกสวรรค์สิไม่ว่า ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย
แม้ว่าสมองจะสั่งแบบนั้นแต่แปลกที่หัวใจกลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อสบตากับเธอ
“หนูนิทสวยไหมตาเล็ก”
ตอนแรกเขาเกือบพลั้งปากว่าไม่สวยแต่มองดูรอยยิ้มมารดาที่แม้จะหวานหยดย้อยแต่กลับเคลือบยาพิษเอาไว้ เขาตายแน่หากตอบอย่างที่คิด จึงหันไปมองนิทราแล้วยิ้มให้เธอ
“สวยสิครับ สวยมากเลย”
คำพูดแดกดันของเขาทำให้นิทรายิ้มออกมาอย่างมีกำลังใจถึงแม้มันจะเป็นคำพูดประชดรอยยิ้มจอมปลอมของเขาก็ตาม
“ไปยืนข้างน้องสิลูก แม่จะถ่ายรูปให้” พสุเดินไปยืนข้างหญิงสาวทำหน้านิ่ง
“ตาเล็กยิ้มหน่อยสิ”
“ปากผมขยับไม่ได้ครับแม่” ขอต่อปากต่อคำสักนิดก็ยังดี
“แม่บอกให้ยิ้มไงจ๊ะ” เพียงเท่านั้นเขาก็ฉีกปากออกทันที
นิทราหันไปมองเขายิ้มเศร้า เขาฝืนใจมากที่มาแต่งงานกับเธอ
“สวยมากเลย เอามือโอบน้องด้วยสิลูก” คนเป็นแม่สั่งแล้วถ่ายรูปอีกครั้ง
คุณยลลดามองบ่าวสาวแล้วยิ้มตามน้อยๆ แม้จะดีใจที่ลูกได้แต่งงานกับคนที่รักแต่กลับทุกข์ที่ดูเหมือนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคเพราะฝ่ายชายไม่ได้มีใจให้ลูกของเธอเลย หลายครั้งอยากบอกวรรณนภาให้ยกเลิกงานแต่ดูที่ลูกสาวอดหลับอดนอนทำชุดก็ไม่กล้าที่จะพูด มันเป็นความสุขของลูกเธอ แม้จะสุขบนความทุกข์ก็ตาม
“ผมเมื่อยครับแม่ แขนยกไม่ขึ้น”
คุณวรรณนภาอยากจะบิดหูเจ้าลูกชายเหลือเกินขัดเธอไปเสียทุกอย่าง แต่ที่ทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมา
“งั้นหนูนิทคล้องแขนพี่เขาสิลูก” หันไปบอกลูกสะใภ้แทน
นิทรายังดูอึ้งแต่สักพักก็คล้องแขนชายหนุ่มไว้ด้วยความเขินอาย พสุถอนหายใจออกมาด้วยความขัดใจ
..แม่เขาจอมบงการเป็นที่หนึ่งแถมคนข้างกายก็มารยาเหลือเกิน
“อย่างนั้นแหละลูก” มื่อถ่ายรูปไปเยอะแล้วคนเป็นแม่ก็ยิ้มอย่างพอใจ เปิดรูปให้รุ่นพี่คนสนิทดูแล้วยิ้มกันสองคน
พสุใส่ชุดราชประแตนแล้วหล่อเหลือเกิน ยิ่งเขาเป็นคนหน้าคมเข้มหล่อแบบไทยๆ ด้วยแล้วยิ่งส่งให้ดูดีขึ้นไปอีก
“เมื่อไหร่งานบ้าๆ นี่จะจบสักที” บ่นออกมาให้เธอได้ยินก่อนจะสะบัดแขนเล็กออกอย่างรำคาญ
นิทราหน้าซีดกุมมือไว้ก่อนเดินไปหาแม่และน้า
“นิทขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
“จ้ะลูก” คุณวรรณนภาตอบแล้วหันมาส่งรูปให้เพื่อนๆ ในไลน์ดูอวดลูกสะใภ้เสียยกใหญ่
“ผมไปเปลี่ยนชุดแล้วขอตัวเลยนะแม่”
“ย่ะพ่อตัวดี จะไปไหนก็ไป”
..แม่สองมาตรฐาน พอพูดกับนิทราละเสียงหวานเหลือเกินพูดกับลูกชายตัวเองเสียงแข็งยังกับหิน
เขาทำหน้าบึ้งเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำก่อนออกมาจากบ้าน แต่ต้องหยุดเท้าเมื่อได้ยินเสียงเรียกดังตามมา
“ผัดผักไม่เผ็ดของชอบพสุ” หนึ่งในอาหารสุดโปรดของเขาส่งกลิ่นหอมจนอดมองไม่ได้ แต่เพราะคนที่เอามาให้เป็นนิทราทำให้เขาไม่เต็มใจที่จะรับเลย อยากปัดจานให้หล่นลงพื้นแต่ก็ไม่กล้าเพราะแม่เขาอยู่ด้วยเดี๋ยวโดนเทศน์ชุดใหญ่จึงทำเพียงส่งสายตาดุมองไปยังอีกฝ่าย
“ไม่กิน ไม่ชอบ เกลียด” ย้ำคำพูดสุดท้าย พูดจบก็เดินหนีแต่เธอก็ยังรั้งเขาอยู่ได้
“แต่พสุหิวไม่ใช่หรือ เอาไปเถอะ แม่เราทำไว้เยอะเลย” ร่างบางยังคงยิ้มสู้แม้ในใจจะเจ็บมากขนาดไหนก็ตาม ดวงตากลมโตมีน้ำรื้นขึ้นมาแต่เธอก็พยายามกลั้นเอาไว้ เพียงแค่แววตาของเขาที่แสดงออกว่าเกลียดเธอมากขนาดไหนใจมันก็จะขาดแล้ว คำพูดของเขาเหมือนมีดมาซ้ำรอยช้ำเธอรอบสอง
“ฟังนะ ฉันเกลียดเธอและฉันจะไม่รับอะไรจากเธอทั้งนั้น แค่นี้เรื่องมันก็ยุ่งมากพอแล้ว เลิกมาวุ่นวายกับฉันสักที ต่างคนต่างอยู่!” ย้ำชัดเจนแล้วก็เดินออกไป เห็นแก่ที่เคยเป็นเพื่อนเขาจึงไม่ทำอะไรที่มันร้ายแรงมากไปกว่านี้
นิทรามองตามหลังเขายกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้าหินอ่อนข้างบ้าน เสียงหัวเราะของแม่กับน้าวรรณดังเป็นระยะทำให้นิทราพยายามกลั้นสะอื้นเพราะไม่อยากทำลายความสุขของผู้ใหญ่ทั้งสอง
เธอไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้ ทำไมเขาต้องเกลียดเธอด้วย..