ตอนที่ 2
“ได้ทุกอย่างจ้ะพิกุล”
“พี่ไกรช่วยเอาจดหมายในซองนี้ไปส่งให้ดาวเรืองน้องสาวพิกุลจะได้ไหมจ๊ะ...พิกุลขอร้อง”
‘ดาวเรือง’ คือน้องสาวร่วมสายโลหิตของพิกุล ทว่าตั้งแต่วันที่พิกุลได้ตัดสินใจหนีออกจากหมู่บ้านไทรงามกระทั่งมาเจอไกรและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน พิกุลก็ไม่เคยเอ่ยถึงครอบครัวของหล่อน...ซึ่งไกรก็ไม่เคยเซ้าซี้ถาม กระทั่งถึงวันที่พิกุลเป็นคนเอ่ยขึ้นมาเอง
“พิกุลมีน้องสาวด้วยหรือ?”
“จ้ะ...ขอโทษที่ไม่เคยบอกเรื่องครอบครัวกับพี่ ความจริงพิกุลมีแม่กับน้องสาว แม่ของพิกุลชื่อจำปา น้องสาวชื่อดาวเรืองจ้ะ และพิกุลมั่นใจว่าตอนนี้ดาวเรืองกับแม่จำปายังอาศัยอยู่ที่แม่ฮ่องสอน ในหมู่บ้านไทรงามที่พิกุลจากมา”
พิกุลเกือบจะหลุดออกมาแล้วว่าความจริงหล่อนไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งบ้านป่ามาอยู่บางกอก ทว่ามีความจำเป็นบางอย่างที่บีบคั้นจนหล่อนต้องหนีมา ก่อนที่จะเจอกับไกรและตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ที่บางกอก
“พี่สัญญาว่าจะส่งจดหมายให้ถึงมือน้องสาวของพิกุล...ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้พักก่อนเถอะ...พี่ไม่อยากให้พิกุลพูดอะไรในตอนนี้”
มีความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มเพราะเขาสังเกตเห็นว่าพิกุลเริ่มหายใจติดขัด อ่อนล้าลงเรื่อยๆ
ใบหน้าของพิกุลซีดเซียวราวกับหน้ากระดาษที่ปราศจากตัวอักษร เสียงหายใจเริ่มแผ่วเบา หัวใจเต้นช้าลงทุกที
บางครั้งพิกุลพยายามจะฝืนยิ้มให้เขา แต่ใบหน้ากลับบิดเบ้เพราะความเจ็บปวดจากเนื้องอกที่แล่นร้าวอยู่ในหัวราวกับว่ากะโหลกศีรษะกำลังจะระเบิดออกเป็นเศษเสี่ยง
“มืดจังเลยพี่ไกร...”
หยาดน้ำตาของพิกุลไหลออกมาอีก หล่อนเริ่มรู้สึกว่าม่านตาพร่าเลือนจนแทบจะมองไม่เห็นหน้าเขา
“ทั้งมืดทั้งหนาว”
เสียงพิกุลแผ่วพร่าคล้ายกระซิบ ไกรรีบก้มลงช้อนร่างของหล่อนขึ้นมากอดแนบเอาไว้กับอก ตัวพิกุลเย็นลงเรื่อยๆ
“ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะจ๊ะพิกุลจ๋า...พี่สัญญาว่าจะส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงมือของน้องสาวพิกุล”
ไกรอยากให้ภรรยาจากไปอย่างสงบ จากนั้นสีหน้าซีดเศร้าของพิกุลก็ดูผ่อนคลาย เหมือนความหนักอึ้งที่แบกรับมานานได้ถูกวางลงแล้ว
หญิงสาวกระตุกเบาๆ เพียงเฮือกสั้นๆ หลังจากนั้นเปลือกตารียาวก็พริ้มสนิท ศีรษะของหล่อนตะแคงซบแขนข้างหนึ่งของไกรที่โอบรองอยู่ใต้แผ่นหลัง
“พิกุลจากพี่ไปแล้วหรือนี่”
ไกรเรียกชื่อภรรยาอยู่ในใจ ที่เขาอดทนนิ่งเงียบมองดู...ก็เพราะอยากให้หล่อนจากไปอย่างสงบที่สุด
วันนี้ไกรไม่ร้องไห้ เพราะที่ผ่านๆ มาเขารู้ว่าตัวเองแอบร้องไห้มามากพอแล้ว
ไกรอยากให้ภรรยาเห็นว่าเขาเข้มแข็งเพียงพอที่จะอยู่ได้ต่อไปโดยไม่มีหล่อน ด้วยพิกุลเป็นคนขอร้องเองว่าไม่อยากเห็นเขาร้องไห้...พิกุลอยากจากลาเขาด้วยสายตาที่มองเห็นภาพสุดท้ายว่าไกรเข้มแข็ง แม้รู้ว่าลึกๆ ในใจของเขาคงปวดร้าวเหลือคณา
พิกุลแน่นิ่งไปแล้ว หล่อนจากไปอย่างสงบ แม้ว่าไกรจะเสียใจกับการจากไปของภรรยาอย่างไม่มีวันกลับ แต่เขาก็นึกขอบคุณมะเร็งร้ายที่ได้ให้เวลาเขาทำใจทีละน้อยทีละนิด
ไกรพยายามมองโลกในแง่บวก เขามองเห็น ‘สิ่งดี’ ใน ‘สิ่งร้าย’ ที่เกิดขึ้น
ยังดีที่โรคร้ายค่อยๆ พรากพิกุลไปอย่างช้าๆ อย่างน้อยมันก็ทำให้เขากับหล่อนได้มีเวลาทำใจ ไม่เหมือนการจากไปด้วยอุบัติเหตุที่มักจะเกิดขึ้นปุบปับกะทันหันจนบางครั้งก็ไม่มีโอกาสได้สั่งเสียร่ำลากันสักคำ
ตลอดสองเดือนที่พิกุลเริ่มป่วยจนกระทั่งมาถึงวาระสุดท้าย ไกรเฝ้ามองดูอย่างคนที่รับสภาพและเข้าใจในธรรมชาติของชีวิต
ชายหนุ่มยอมจำนนต่อโชคชะตาที่ได้ถูกฟ้าลิขิตเอาไว้แล้ว ยอมรับว่า ‘ความตาย’ เป็นสัจธรรมของมนุษย์ทุกคน สักวันเขาเองก็ต้องตามหล่อนไป ความคิดนี้ทำให้เขาแข็งแกร่งพอที่จะมองดูการจากไปของภรรยาสุดที่รักโดยไม่ร้องไห้ออกมา
สามสัปดาห์ต่อมา
ภายหลังจากพิกุลได้จากไปแล้ว ไกรไม่ได้จัดงานศพให้หล่อนแต่อย่างใด เพราะว่าก่อนตายพิกุลได้ทำเรื่องขออุทิศร่างกายให้กับโรงพยาบาล ด้วยอยากให้ร่างไร้ลมหายใจของหล่อนเกิดประโยชน์กับนักศึกษาแพทย์เฉพาะทาง ที่จำเป็นต้องฝึกการผ่าตัดจากร่างกายของมนุษย์ แทนที่จะเอาไปเผาให้มอดไหม้หรือฝังให้เน่าเปื่อยลงไปอย่างไร้ค่า
ไกรไม่คัดค้านคำขอของพิกุล เพราะหล่อนเองก็ไม่มีญาติพี่น้องในบางกอก ด้วยพื้นเพของพิกุลเป็นหญิงสาวชาวป่าจาก ‘หมู่บ้านไทรงาม’ ที่หนีออกจากหมู่บ้านเพราะความจำเป็นบางอย่าง
ถึงวันที่ไกรต้องเดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อสานต่อความประสงค์สุดท้ายในชีวิตของพิกุลให้เป็นจริง เขาจึงต้องทำในสิ่งซึ่งพิกุลขอร้องเอาไว้ นั่นก็คือการนำจดหมายไปส่งให้ถึงมือน้องสาวของหล่อน
ที่ดอยแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ตอนเช้าตรู่ ในระหว่างที่กำลังยืนรอเพื่อนสนิทที่นัดเอาไว้ว่าจะมารับ ไกรทอดสายตาคู่คมมองผ่านแว่นกันแดดสีดำสนิทไปยังเทือกเขาที่ทาบทะมึนอยู่เบื้องหน้า แลดูเหมือนผืนพรมสีเขียวขจีขนาดใหญ่ ทอดตัวเหยียดยาวเชื่อมต่อกันมาจากทิวเขาถนนธงชัย
“เฮ้ย...รอนานหรือเปล่าวะเพื่อน”
การันย์ร้องทักทายไกรทันทีที่เจอหน้าเพื่อนเก่า
“สักพักแล้วล่ะ...ดีใจที่ได้เจอเอ็งว่ะ”