5
เขาโอบอุ้มร่างงาม ชายหนุ่มตะลึง เมื่อพิจารณาใบหน้างาม ดวงตากลมโตดั่งดวงจันทร์ทำให้เขา ต้องมนตร์สะกด เขาเคยเห็นแววตานี้ที่ไหน
ดูเหมือนว่านางจะโดนไอเย็นเสียด้วยซ้ำร่างกายหนาวสั่น “ช่วยด้วย” ชายหนุ่มกอดนางอย่างแน่น เขารู้สึกว่าจะต้องช่วยนางให้รอด
“กลับค่าย เผ่ารังโจรเสีย” กล่าวจบชายหนุ่มกระโดดขึ้นหลังม้า พร้อมโอบอุ้มร่างงาม ท่ามกลางแสงจันทร์ห้อตะบึงม้าออกไป หมู่บ้านโจรบัดนี้เหลือแต่ซากเป็นแน่แท้ เพราะโดนเผาจนมอดม้วย…
แสงแดดสาดส่องเข้ามาในกระโจม ร่างงามนอนที่เตียงขยับเล็กน้อย ขนตางามค่อยๆ กระพือขึ้นมา หญิงสาวลุกขึ้นทันที นางจำได้ว่า เมื่อคืนเจ้าโจรนั้นเปิดผ้าออกแล้วเห็นนาง จากนั้นมันก็ล้มลงไปตอนนั้นเหล่าทหารบุกรังโจร จูจูอาศัยจังหวะที่โกลาหลหลบใต้รถเกวียน นางโดนไอเย็นจากนั้นนางก็สลบไป
“เจ้าฟื้นแล้ว” จูจูทอดสายตามองบุรุษชุดสีน้ำเงินดวงหน้าหล่อเหลา
หรือว่าเขาช่วยนายไว้
“ข้าเป็นคนช่วยเจ้าออกจากรังโจร”
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” เสิ่นหยงเยี่ยมองใบหน้างามเกลี้ยงเกลาของสตรีนางนี้ ทำไมเขาถึงได้รู้สึกผูกพันธ์กันนางนั้นทั้งที่เคยเจอกันแค่ครั้งแรกเท่านั้น
นางเองก็คิดเช่นเดียวกันกับเขา ทำไมนางถึงได้รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก เพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรก หรือว่าจะเป็นความผูกพันแต่ชาติปางก่อนกันแน่
นายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมถาดสำรับ “ท่านแม่ทัพ สำรับมาแล้วขอรับ” ชายหนุ่มมองลูกน้อง นายทหารชั้นผู้น้อยเข้าใจ จึงวางสำรับไว้ที่โต๊ะ จากนั้นล่าถอยออกไป
ที่แท้เขาก็คือท่านแม่ทัพแห่งแว่นแคว้นนี่เอง
“ขอบคุณท่านแม่ทัพอีกครั้งเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่บ้านเจ้าอยู่ที่ใด”
“เมืองฉางอันเจ้าค่ะ” นางตอบสั้นๆ
“วันพรุ่ง ข้าจะให้ทหารไปส่งเจ้า แล้วกัน สำรับนี้ เจ้าก็กินเสีย”
“ขอบคุณอีกครั้งเจ้าค่ะ”
เขาเดินออกจากกระโจม โดยไม่สนใจนาง หญิงสาวไม่รอช้า รีบยกข้าวต้มปลามากิน หลังจากที่กินอาหารเสร็จนางก็นอนพักผ่อน
เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มให้ทหารพานางมาส่งที่หน้าเมืองหลวงฉางอัน เขาไม่ลืมให้ถุงเงินนาง หญิงสาวกล่าวขอบคุณ นางมองนายทหารผู้นั้นห้อตะบึงม้าออกไป จากนั้นดึงสายตามองหน้าประตูเมืองหลวงฉางอันที่ใหญ่โต นางต้องรีบหางามทำเพื่อจะได้นำเงินกลับไปที่หมู่บ้านในหุบเขา
ร่างงามเดินเข้ามาในเมืองหลวง ผู้คนช่างพลุกพล่านดีแท้ สองข้างทางเต็มไปด้วยของกิน นางจะต้องไปหางานทำงานทำ หรือจะไปเคาะประตูตามเรือนดี ว่ารับสาวใช้หรือไม่ เอาอย่างไรกับชีวิตดี หรือจะทำงานเป็นลูกจ้างโรงเตี๊ยมดี
ในระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น สายตามองผู้คนกำลังมุงดูอะไรกัน สองเท้าของนางหยุดดูพวกเขาเถียงกัน
บุรุษร่างสูงใหญ่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูท่าวัยกลางคน สองมือถือถุงน้ำมันหมู “เจ้าขโมยถุงเงินข้าได้อย่างไร เอาคืนข้ามาบัดนี้”
สตรีวัยกลางคนแต่งตัวดีด้วยอาภรณ์หรูหรา บนศีรษะประดับด้วยปิ่นอันงดงามบ่งบอกถึงความมีอันจะกิน
“ข้าไปขโมยของเจ้าตอนไหนกัน ตาแก่ขี้ปรักปรำ ข้าเดินของข้ามาดีๆ ถุงเงินก็ของข้า เจ้ามีหลักฐานอันใดมากล่าวหาข้า” สตรีนางนั้นปรายตามองบุรุษผู้นั้น
บุรุษผู้นั้นมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขาทำถุงเงินหล่น พอจะเดินกลับคืนไปเอาพบว่า สตรีนางนี้ หยิบถุงเงินเขาขึ้นมา เขาทวงคืนบอกว่า เป็นของนางทำหล่นมิใช่ของเขา
เห็นเขาตาบอดหรือไร
เขาพ่อบ้านเจียง เป็นพ่อบ้านแห่งจวนท่านแม่ทัพเสิ่นเชียวหนา
“เจ้าขโมยของข้า” พ่อบ้านเจียงวางถุงน้ำมันลงกับพื้น อย่างโมโห
“ข้า หาใช่ขโมยไม่” สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างหน้าด้าน
“เจ้า…” พ่อบ้านเจียงชี้หน้านาง
จูจูทนไม่ไหว ดูท่าแล้ว คงต้องหาทางพิสูจน์แล้วว่าถุงเงินนี้เป็นของใครกันแน่ เรื่องนี้ต้องมีคนโกหก
“ข้ามีทางพิสูจน์ว่าถุงเงินเป็นของใคร” ร่างงามแหวกฝูงชนเข้ามา นางตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน พ่อบ้านเจียงดีใจที่มีคนมาช่วยเขา
“เจ้าช่วยได้จริงหรือ” พ่อบ้านเจียงเอ่ยขึ้น
สตรีนางนั้นมีสีหน้าวิตก
“ใช่” จูจูหยักยิ้มให้พวกเขา เรื่องนี้นางมีวิธี
“ตกลง” สตรีนางนั้นใคร่อยากรู้ว่า นางคนนั้นจะมีวิธีพิสูจน์อย่างไร