บทที่ 2
เพราะมารดาป่วยสงสัยโดนไอเย็น แน่ๆ ตอนไปปิดประตู กระนั้นจูจูอยู่เฝ้ามารดา นางรีบเคี่ยวน้ำขิงให้นางสวีทันที
“ท่านแม่น้ำแกงขิงมาแล้วเจ้าค่ะ” จูจูถือชามน้ำแกงเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง นางสวีไออย่างแรงพลันลุกขึ้นแล้วอิงหมอน
“จูจู” กระนั้นหญิงสาวไม่รอช้ารีบป้อน น้ำแกงขิงให้มารดาดื่มทันที นางสวีดื่มน้ำแกงขิงลงไปแล้วรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “ท่านแม่พักผ่อนนะเจ้าคะ ช่วงเที่ยงข้าจะต้มข้าวมาให้เจ้าค่ะ”
“ลำบากเจ้าแล้ว” นางสวีรู้ว่าจูจูเป็นบุตรสาวที่กตัญญูยิ่งนัก ถ้าเกิดวันไหนนางออกเรือนไปคนเป็นมารดาอย่างนางคงคิดถึงแย่กระมัง
จูจูห่มผ้าให้มารดาแล้วปิดม่านมุ้ง จากนั้นนางก็นั่งที่เก้าอี้ หยิบเครื่องถักทอถุงหอมออกมาปักเป็นลายประณีตอย่างงดงาม ทำเสร็จแล้วฝากบิดาเข้าไปขายในเมืองหลวงอย่างน้อยพอได้ค่าขนมเล็กๆ น้อยๆบ้าง
“นังหนูจูจู แย่แล้ว” เสียงลุงเซียงอี้ตระโกนหน้าลานเรือนของนาง เกิดอะไรขึ้น หญิงสาวไม่รอช้ารีบวางถุงผ้า แล้วย่างกรายไปที่หน้าประตูเรือนแล้วเปิดประตูออก เห็นแต่ลุงเซียงอี้ที่มีสีหน้าเหนื่อยหอบ
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะท่านลุง” ท่านลุงเซียงอี้คือสหายแถวเรือนของพวกนาง อีกทั้งยังมีอาชีพ ตัดฟืนขายเหมือนกับบิดาของจูจู
“หลงซานแย่แล้ว หลงซานตกต้นไม้”
“หา!!!” จูจูตกใจเป็นอย่างมาก ที่บิดาของนางได้รับอันตราย
ตอนที่สหายของหลงซานแบกร่างที่สติ ของเขาเข้ามาในเรือน จูจูกับมารดาแทบจะลมจับ เมื่อเห็นสภาพบิดาที่ขาคิดว่าน่าจะหักเป็นแน่แท้ ท่านหมอประจำหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากเรือนพวกนางพอสมควร ท่านหมอได้ตรวจดูอาการ บอกว่าขาหักอาจจะเดินไม่ได้ตลอดชีวิต กระนั้นก็หมายถึงบิดาอาจเดินไม่ได้ ถ้าเดินไม่ได้ ใครจะเลี้ยงพวกนาง
มารดาก็พลันป่วย ด้านจูจูสงสารบิดามารดายิ่งนัก คืนนั้นทั้งคืนหญิงสาวปูเสื่อนอนข้างเตียง ของบิดา ตามจริงแล้วในเรือนมีเตียงสองหลัง ของบิดากับมารดา สุดท้ายของนาง เนื่องด้วยมารดาต้องไอเย็นเป็นไข้จูจูไม่สามารถนอนกับนางสวีได้ จูจูจึงตัดสินใจนอนเฝ้าบิดาดีกว่า
เมื่อยามเช้าจูจูพลันต้มข้าวต้มฉีกเนื้อไก่ฝอยโรยหน้าข้าวต้ม ให้บิดาและมารดากิน
หลายวันมานี้จูจูดูแลมารดาจนหายไข้ อีกทั้งบิดาอาการทุเลาลง แต่ทว่ามิสามารถเดินได้อีกต่อไป จูจูพลันจะทำอาหารเย็นให้บิดามารดาเช่นเคย แต่ทว่าเมื่อนางเปิดถังข้าว พบว่ามีเพียงข้าวสารแค่นิดเดียวกระนั้นได้จึงให้บิดามารดากิน ตัวนางนั้นไม่ได้กินข้าวเลยแม่แต่คำเดียว
นางคิดมาหลายวันแล้วแต่ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปครอบครัวนางต้องอดตายเป็นแน่แท้ หลังจากที่มารดาเช็ดตัวให้บิดา นางสวีน้ำตาไหลเอ่อล้นออกมา บิดผ้าหมาดจากอ่างสำริดแล้วเช็ดที่ใบหน้าของหลงซาน
“ท่านพี่ขาของท่าน”
จูจูยืนมองความรักที่มารดามีให้บิดาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
“ท่านแม่ลูกมีเรื่องจะพูดด้วยเจ้าค่ะ”
สองแม่ลูกนั่งที่เก้าอี้ไม้ จากนั้นจูจูรินน้ำชาให้มารดา หลายวันมานี้ใบหน้าสวีเป็นทุกข์ยิ่งนักตั้งแต่หลงซานตกต้นไม้
“จูจูจะเอ่ยอันใดกับแม่”
จูจูคิดมาหลายวันยังไงก็ต้องเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อหางานทำ
“ท่านแม่ ข้าคิดมาหลายวันแล้วว่า จะไปทำงานที่เมืองหลวง เพราะท่านพ่อมิอาจเลี้ยงเราได้ ข้ากังวลพวกเราจะอดตาย”
นางสวีไม่คิดเลยว่าจะได้ยินประโยคนี้จากบุตรสาว
“จูจู” ก็จริงอย่างจูจูพูด ไม่มีใครหาเลี้ยงพวกนางแล้ว หลงซานก็ป่วย ส่วนนางสวีก็เป็นเพียงหญิงคนหนึ่ง
“ข้าจะไปทำงานเป็นสาวใช้เจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าคิดดีแล้ว อย่างน้อยในเมืองหลวง เรือนใหญ่โตต้องการสาวใช้บ้าง” นางคิดอย่างนั้นจริงๆ อย่างน้อยได้เงินเดือนเบี้ยหวัดมาให้มารดาก็ยังดี
นางสวีพลันคิดว่าถ้าจูจูไปเป็นสาวใช้จริงๆ บุตรสาวของนางก็ต้องเป็นทาสในเรือนเบี้ยตลอดไป คิดได้กระนั้นนางสวีก็ไม่อยากให้บุตรสาวไป
“แม่ไม่อยากให้เจ้าไป ถ้าเกิดเจ้าไป เจ้าจะต้องไปเป็นทาสคนพวกนั้นจนตายเลยนะ จูจู” นางสวีพรางร่ำไห้ บุตรสาวของนาง นางไม่อยากให้ใครโขกสับจูจู
“ท่านแม่ พวกเราจะอดตายนะเจ้าคะ”
“ในเมื่อเจ้าอยากไปแม่ไม่ห้าม”
ก็จริงอย่างจูจูเอ่ยขึ้น ถ้าจูจูไม่ไปทำงานในเมืองหลวง ใครจะหาเลี้ยงนาง ด้านหลงซานเดินไม่ได้นอนติดเตียง ลำพังนางกับจูจูหาของป่า ฟืนไม้นำไปขายไม่ได้เยอะเท่าหลงซาน นางสวีถอนหายใจอยู่เฮือกใหญ่ สองมือหยาบกระด้างกุมมือเรียวงามของบุตรสาว
จูจูปรายตามองมารดา หญิงสาวรับรู้ถึงความห่วงใยส่งผ่านแววตาลุ่มลึก ที่ทอประกายแวววาวมาหาจูจู “ท่านแม่ มิต้องห่วงข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าเอาตัวรอดได้” นางเข้าใจดี การเป็นสาวใช้ในเมืองหลวงนั้น คือการทำตามเจ้านายสั่ง รับใช้เจ้านาย นางตระหนักถึงสิ่งนี้ดี
เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ก็มีชาวบ้านส่งบุตรสาวเข้าไปเป็นสาวใช้ในเมืองหลวงมากมาย ดูอย่างบุตรสาวของท่านลุงเซียงอี้ก็เป็นสาวใช้ในเมืองหลวงเช่นกัน นางเซี่ยนภรรยาของท่านลุงเซียงอี้ ยังอยู่ดีมีสุขเพราะบุตรสาวส่งเงินมาให้ใช้ไม่น้อย
“แต่เจ้าถึงวัยออกเรือนแล้วหนา” นี่คือสิ่งที่นางสวีตระหนักถึงข้อนี้มาตลอด บุตรสาวของนางสมควรที่จะออกเรือนได้แล้ว แต่ทว่าสองปีมานี้จูจู ปฏิเสธคนที่มาสู่ขอตลอด นางสวีก็ตามใจบุตรสาวมาตลอด
“ท่านแม่ ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ ชาตินี้ข้าจะไม่แต่งงาน ข้าจะเลี้ยงดูพวกท่านให้สุขสบาย ทดแทนบุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงข้ามาตลอด”
คำพูดประโยคนี้ทำใหนางสวีโอบกอดบุตรสาว ปลื้มปีติที่บุตรสาวมีความกตัญญู จูจูคิดว่าจะต้องตอบแทนบุญคุณบิดามารดาไม่เสียชาติเกิดแล้วหนาที่เกิดมาชาตินี้
“จูจูลูกรักของแม่”
“ท่านแม่”
“แม่คิดว่า เจ้าไม่ต้องไปในเมืองหลวง แม่ไม่อยากให้เจ้าไป แม่คิดดีแล้ว ในเมืองหลวงอันตรายมากมาย” ใจหนึ่งนางสวีสงสารบุตรสาว อดห่วงบุตรสาวไม่ได้
“ท่านแม่ แต่พวกเราจะอดตายกันหมดนะเจ้าคะ”