เริ่มต้นใหม่
เช้าวันใหม่ที่ไร่องุ่นหยางกวง เหว่ยเฟิงเริ่มต้นบทบาทใหม่ในชีวิต เธอสวมชุดทำงานเรียบร้อย เดินตรงไปยังห้องทำงานเล็ก ๆ ที่ถูกฉินหลงเจ๋อผู้เป็นเจ้านายของพ่อจัดเตรียมไว้ให้ เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มสำรวจเอกสารกองโตที่รอเธออยู่
ระหว่างนี้ก็มีการได้เจอกับพี่ ๆ ในที่ทำงานคนอื่น ๆ อีกหลายคน ซึ่งทุกคนล้วนให้ความเป็นกันเองกับเหว่ยเฟิงเป็นอย่างมาก ทั้งยังคอยชี้แนะสิ่งต่าง ๆ ที่จัดวางอย่างเป็นระบบ ทำให้เธอทำงานได้อย่างไม่ติดขัด
ด้วยความรู้ด้านสถิติที่ร่ำเรียนมา เหว่ยเฟิงจึงสามารถตรวจสอบบัญชีและเอกสารซื้อขายได้อย่างคล่องแคล่ว เธอทำงานด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่นที่จะใช้ความสามารถของเธอช่วยเหลือพ่อและไร่องุ่นแห่งนี้ให้เจริญเติบโตมากกว่านี้
แม้ไร่องุ่นแห่งนี้จะมีเงินทุนมากมาย ทว่าก็ไม่ได้มีเงินเข้าตลอด ยิ่งช่วงนี้ผลผลิตน้อย เงินแทบไม่เข้าคลังเลย มีแต่จ่ายออกไป เหว่ยเฟิงศึกษาและตรวจสอบบัญชีดูแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ในช่วงพักกลางวัน หลังกินข้าวเที่ยงแล้ว เหว่ยเฟิงเดินไปหาเหว่ยเซินที่กำลังเดินดูแลสำรวจไร่องุ่นอยู่ เหว่ยเซินยิ้มอย่างภูมิใจเมื่อเห็นลูกสาวทำงานอย่างขยันขันแข็ง
“เก่งมากลูกพ่อ” เหว่ยเซินเอ่ยชม “พ่อดีใจที่ลูกกลับมาช่วยงานที่นี่”
“หนูก็ดีใจที่ได้กลับมาค่ะพ่อ” เหว่ยเฟิงตอบ “หนูอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระพ่อบ้าง”
ขณะที่สองพ่อลูกกำลังคุยกันอยู่นั้น ฉินหลงเจ๋อ เจ้าของไร่องุ่นก็เดินเข้ามาทักทาย เขาเป็นชายวัยหกสิบกะรัตผู้ใจดี มีรอยยิ้มอบอุ่นประดับบนใบหน้าเสมอ
“เหว่ยเฟิง ยินดีต้อนรับกลับมานะ” ฉินหลงเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “พ่อเธอเล่าให้ฟังบ่อย ๆ เลยว่าเธอเก่งแค่ไหนที่อเมริกา ลุงก็อดภูมิใจในตัวเธอไม่ได้จริง ๆ”
“ขอบคุณค่ะคุณลุง” เหว่ยเฟิงรู้สึกอบอุ่นใจ เธอรู้ว่าฉินหลงเจ๋อหวังดีกับเธอและครอบครัวจริง ๆ เธอคิดในใจว่าจะตั้งใจทำงานที่นี่ให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนความเมตตาของเขา
“เรียกลุงว่าพ่อก็ได้นะ ยังไงซะพวกเราก็เป็นคนกันเอง” ฉินหลงเจ๋อพูด “ลุงเองเห็นเธอโตมาตั้งแต่เด็ก เอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวแท้ ๆ เลย”
“ค่ะคุณพ่อ ขอบคุณนะคะที่เมตตาเหว่ยเฟิงคนนี้” เหว่ยเฟิงก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม
หวังซู่หลินที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินคำพูดของสามีที่เอ่ยชมเหว่ยเฟิงก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เธอหรี่ตามองเหว่ยเฟิงอย่างไม่ไว้ใจ ความรู้สึกไม่ชอบใจนี้ก่อตัวขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่เหว่ยเฟิงยังเด็ก เธอไม่เคยชอบเด็กสาวคนนี้เลยสักนิด
ในสายตาของหวังซู่หลิน เหว่ยเฟิงและพ่อของเธอนั้นเป็นเหมือนกาฝากที่เกาะกินตระกูลฉินมาโดยตลอด เหว่ยเซินทำงานเป็นผู้ดูแลไร่องุ่นมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยทำอะไรให้มันเจริญก้าวหน้าขึ้นมาได้ หวังซู่หลินเชื่อว่าเหว่ยเฟิงก็คงไม่ต่างกัน เธอคงแค่อยากมาอาศัยบารมีของตระกูลฉินเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตัวเองเท่านั้น
ยิ่งได้ยินสามีพูดชมเหว่ยเฟิง หวังซู่หลินยิ่งรู้สึกไม่พอใจ เธอไม่อยากให้สามีหลงเชื่อคำหวานของเด็กสาวคนนี้ เธอรู้ดีว่าเหว่ยเฟิงเรียนจบมาสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะมีความสามารถในการบริหารไร่องุ่นได้
หวังซู่หลินถอนหายใจเบา ๆ พลางคิดถึงอนาคตของตระกูลฉิน เธอปรารถนาให้ฉินป๋อหลิน ผู้เป็นลูกชายได้แต่งงานกับหญิงสาวที่มีฐานะเหมาะสม เพื่อรักษาชื่อเสียงและความมั่งคั่งของครอบครัว เธอไม่ต้องการให้ลูกชายต้องเผชิญความลำบากเพียงเพราะความใจดีของสามีอย่างฉินหลงเจ๋อ
“หลงเจ๋อ เข้าบ้านกันเถอะค่ะ ที่นี่ร้อนมากเลย” หวังซู่หลินเรียกสามีด้วยเสียงนุ่มนวล
“อ๋อ ๆ พ่อไปก่อนนะเหว่ยเฟิง” ฉินหลงเจ๋อบอกลาสองคนพ่อลูก
“ค่ะ คุณพ่อ”
พอเจ้านายเดินกลับกัน สองพ่อลุกก็เดินดูรอบไร่ ก่อนที่เหว่ยเฟิงจะไปทำงานของตัวเองที่ยังไม่ได้จัดการอีกมาก
“ฉันว่าเราควรพูดคุยเรื่องอนาคตของอาหลินได้แล้วนะ หลงเจ๋อ” เมื่อกลับมาถึงบ้านหวังซู่หลินก็เอ่ยประโยคแรกกับสามี
ฉินหลงเจ๋อมองภรรยาด้วยความสงสัย “เรื่องอะไรล่ะ?”
“เรื่องการแต่งงานของเขาน่ะสิ” หวังซู่หลินตอบ “ฉันคิดว่าเราควรเริ่มหาผู้หญิงที่เหมาะสมให้เขาเสียที”
ฉินหลงเจ๋อขมวดคิ้ว “แต่คู่หมายของอาหลิน...”
“ไม่” หวังซู่หลินขัดขึ้น “ถ้าเป็นเด็กคนนั้น ฉันจะไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด”
ฉินหลงเจ๋อถอนหายใจลึก เขาไม่อยากขัดใจภรรยา จึงเลือกที่จะเงียบไว้ไม่พูดอะไรต่อ
หวังซู่หลินยิ้มอย่างพึงพอใจ เธอรู้ดีว่าสามีจะทำตามที่เธอต้องการ และเธอต้องมั่นใจว่าลูกชายเพียงคนเดียวของเธอจะต้องได้แต่งงานกับหญิงสาวที่คู่ควร และจะไม่มีใครเข้ามาปอกลอกสมบัติของตระกูลฉินได้
ฉินป๋อหลิน ทายาทผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฉิน ก้าวลงจากเครื่องบินที่เพิ่งแตะรันเวย์ของสนามบินต้าหลี่ ใบหน้าคมคายเรียบเฉยภายใต้กรอบแว่นกันแดดราคาแพง แม้จะเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากอังกฤษ แต่แววตาของเขากลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งความยินดีหรือตื่นเต้นใด ๆ
เพราะการกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยความสมัครใจ หากแต่เป็นเพราะเสียงเรียกหาจากมารดาของเขา ฉินป๋อหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะสาวเท้าออกจากสนามบิน ทิ้งเมืองผู้ดีไว้เบื้องหลัง
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสสีแดงเพลิงก็ปรากฏตัวขึ้น เธอเดินเข้ามาหาฉินป๋อหลินอย่างมั่นใจ พร้อมกับส่งยิ้มหวานเยิ้มให้เขา
“สวัสดีค่ะคุณ ดิฉันชื่อ...”
“ไม่สนใจ” ฉินป๋อหลินตัดบทเสียงแข็ง พร้อมกับสาวเท้าเดินผ่านเธอไปราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ
หญิงสาวหน้าชาเล็กน้อยกับท่าทีเย็นชาของเขา แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม เธอรีบสาวเท้าตามเขาไป
“คุณคะ ดิฉันแค่อยากจะ...”
“ผมบอกว่าไม่สนใจไง!” ฉินป๋อหลินหันกลับมาตวาดใส่เธอเสียงดัง จนคนรอบข้างหันมามองด้วยความตกใจ
หญิงสาวตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เธอไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มที่เพียบพร้อม จะมีท่าทีหยาบคายและเย็นชาได้ถึงเพียงนี้ เธอรีบเดินหนีไปทันที
ฉินป๋อหลินถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงพวกนี้ถึงได้ชอบตามตื๊อเขา ทั้ง ๆ ที่เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่สนใจ
“น่ารำคาญเป็นบ้า” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าออกจากสนามบินโดยเร็วที่สุด เขาอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้อีกแล้ว
รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวผ่านประตูทางเข้าไร่องุ่นหยางกวงอย่างเชื่องช้า ฉินป๋อหลินมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์เขียวขจีที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อสายตา แต่กลับไม่สามารถจุดประกายความรู้สึกใด ๆ ในใจเขาได้เลย รถจอดสนิทหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ บ่าวรับใช้รีบกุลีกุจอมาเปิดประตูให้เขา
“คุณชายกลับมาแล้วครับ” เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างของคนรับใช้ แต่ฉินป๋อหลินเพียงพยักหน้ารับรู้เล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในบ้าน
“อาหลินลูกแม่!” เสียงหวังซู่หลินดังมาจากห้องรับแขก เธอรีบลุกขึ้นมาต้อนรับลูกชายด้วยความดีใจ “กลับมาแล้วก็ดีแล้วลูก คิดถึงจะแย่”
ฉินหลงเจ๋อวางหนังสือพิมพ์ลง พลางทักทายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “กลับมาแล้วเหรอลูก”
“ครับ” ฉินป๋อหลินตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยหน่าย
หวังซู่หลินมองลูกชายด้วยความเป็นห่วง “เดินทางเหนื่อยไหมลูก แม่ให้คนเตรียมอาหารไว้ให้แล้วนะ”
“ขอบคุณครับแม่” ฉินป๋อหลินตอบรับ แต่ก็ไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นใด ๆ
ฉินหลงเจ๋อมองภรรยาและลูกชายสลับกันไปมา เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร
“อาหลิน” หวังซู่หลินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับลูกหน่อย”
ฉินป๋อหลินเงยหน้าขึ้นมองมารดา “เรื่องอะไรครับ?”
“เรื่องอนาคตของลูกน่ะ” หวังซู่หลินเว้นช่วงเล็กน้อย “แม่ว่าถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้อง...”
ฉินป๋อหลินรู้ทันทีว่ามารดาต้องการจะพูดเรื่องอะไร เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดสวนขึ้น “ผมเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
เขาตัดบทและรีบเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอน ทิ้งให้หวังซู่หลินและฉินหลงเจ๋อมองตามหลังไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ฉินป๋อหลินเหยียดกายลงบนเตียงนุ่มหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางมายาวนาน ความรู้สึกหงุดหงิดยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ เขาไม่ชอบที่ถูกใครมาบงการชีวิต แม้แต่แม่ของเขาเองก็ตาม เธอชอบสั่งให้เขาทำนู่นทำนี่ราวกับว่าเขาเป็นเด็กน้อย ทั้งที่เขาโตพอที่จะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้แล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ฉินป๋อหลินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วนพ่อก็ไม่เคยขัดใจแม่ได้เลยสักครั้ง ปล่อยให้แม่ทำตามใจตัวเองทุกอย่าง นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะเขาอยากหนีจากกรงทองที่แสนอึดอัด
ถ้าไม่ใช่เพราะแม่โทรมาบอกว่าพ่อป่วย เขาคงไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่อีก ฉินป๋อหลินหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
เช้าวันใหม่ที่ไร่องุ่นหยางกวง ขณะที่เหว่ยเฟิงกำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบคุณภาพองุ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าอยู่นั้น ใบหน้าของเธอเปล่งประกายสดใสไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
ทันใดนั้นเอง เงาของใครบางคนก็ทาบทับลงมาบนเถาองุ่น เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้น ก็พบกับฉินป๋อหลิน ชายหนุ่มสุดหล่อผู้เป็นลูกชายเจ้าของไร่องุ่นหยางกวงแห่งนี้ คนที่เธอเคยเจอมาก่อนในสมัยเด็ก เธอจำเขาได้ลาง ๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
“อ้าว ทำงานอยู่เหรอ” ฉินป๋อหลินเอ่ยทักเสียงเรียบ พร้อมกับเสมองไปทางอื่น เขาพยายามทำตัวให้ดูไม่สนใจคนตรงหน้า แต่ภายในใจกลับเต้นระรัว ไม่เจอกันนานหลายปี หญิงสาวดูโตขึ้นมากในสายตาของเขา
เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองเขา พลางตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใสเช่นเคย “ค่ะ สวัสดีค่ะคุณป๋อหลิน”
ฉินป๋อหลินพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามเก็บอาการ แต่เขาก็ไม่อาจละสายตาจากเหว่ยเฟิงได้ ความงามและความสดใสของเธอทำให้เขารู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก
เหว่ยเฟิงมองตามแผ่นหลังของฉินป๋อหลินไปจนลับสายตา เธอไม่ได้ใส่ใจท่าทีเย็นชาวางท่าของเขาเท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้เธอมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้ต้องโฟกัส