ทำงานร่วมกัน
“เกิดอะไรขึ้น” ฉินป๋อหลินที่มาเดินดูงานในไร่เอ่ยถามคนงานคนหนึ่งที่เดินผ่านมา
“องุ่นในไร่เกิดโรคระบาดครับ”
“อะไรกัน มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
“ไม่ทราบเช่นกันครับ ยังไงผมขอตัวไปแจ้งเหว่ยเซินก่อน”
“รีบไปเถอะ”
ไม่ทันไร...ฉินป๋อหลินที่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษได้ไม่นานก็ต้องมาบริหารงานไร่องุ่นแทนบิดาที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย หากความโชคร้ายยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ก็ดันมีโรคระบาดร้ายแรงเข้ามาซ้ำเติม ทำให้ผลผลิตเกือบทั้งหมดเสียหายอย่างยับเยิน
“ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็ไม่ค่อยจะมีด้วย”
ฉินป๋อหลินผู้เติบโตมาในโลกธุรกิจและการบริหาร รู้สึกเหมือนถูกผลักเข้าสู่สนามรบที่เขาไม่คุ้นเคยและไม่มีความรู้ ความเครียดถาโถมเข้าใส่ เขาไม่รู้จะเริ่มแก้ปัญหาจากตรงไหน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าโรคที่ทำลายไร่องุ่นคืออะไร วิธีรักษาต้องทำยังไงบ้างก็ไม่เคยรู้
แม้เขาจะไม่ชอบเรื่องจุกจิกพวกนี้สักนิด แต่สถานการณ์บีบบังคับให้เขาต้องลุกขึ้นสู้กับภารกิจสุดหินในครั้งนี้
ยังไงเขาจะต้องหยุดการระบาดโรคนี้ให้ได้
เช่นนั้นแล้วป๋อหลินก็รีบเข้าห้องสมุดของบิดาเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้
ข่าวคราวเรื่องโรคระบาดในไร่แพร่สะพัดไปทั่วบริเวณ เหว่ยเฟิงที่กำลังง่วนอยู่กับงานเอกสารก็ได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน เธอรู้ดีว่าสถานการณ์กำลังเลวร้าย และฉินป๋อหลินคงกำลังเผชิญกับความกดดันอย่างหนัก แม้ว่าเธอจะไม่ได้สนิทสนมกับเขาเป็นพิเศษ แต่เธอก็อดเป็นห่วงไร่องุ่นไม่ได้
เหว่ยเฟิงจึงตัดสินใจเข้าไปเสนอความช่วยเหลือ เธอรู้ว่าเธออาจจะมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ปัญหาและหาทางแก้ไขได้ ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการเรียนและทำงานวิจัยในอเมริกาอยู่หลายปี
“ไปไหนของเขากัน” เหว่ยเฟิงเดินตามหาฉินป๋อหลินอยู่นาน ทว่าก็ไม่เห็นเขาแม้แต่เงา เลยรีบเดินไปที่บ้าน
“ฉันมาขอพบคุณฉินป๋อหลินค่ะ ไม่ทราบว่าเขาอยู่บ้านไหมคะ”
“อยู่ครับ จะให้ผมแจ้งท่านว่ายังไงครับ”
“บอกเขาว่า เหว่ยเฟิงมาขอพบค่ะ”
“ได้ครับ รอสักครู่” คนงานชายหายไปไม่นานก็เดินกลับมาหาหญิงสาวที่นั่งคอยอยู่ “คุณชายเชิญคุณไปพบที่ห้องสมุดครับ เชิญครับ”
เหว่ยเฟิงเดินตามคนงานชายไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่ห้องห้องหนึ่ง
“เชิญครับ คุณชายรออยู่ด้านในแล้ว” พร้อมกับเปิดประตูไม้บานหนาให้
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวสาวเท้าเดินเข้ามาในห้องที่แทบไม่มีแสงสว่าง พอเดินมาเรื่อย ๆ ก็เห็นว่าฉินป๋อหลินกำลังนั่งอ่านตำราอะไรสักอย่างอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งตรงนี้จะมีบานกระจกให้แสงสว่าง
“คุณป๋อหลินคะ” เหว่ยเฟิงเรียกคนที่มีสมาธิจดจ่อกับหนังสือเล่มหนา
“มาแล้วเหรอ มีอะไรจะพูดกับฉันล่ะ”
“ฉันได้ข่าวมาว่าที่ไร่กำลังประสบปัญหาเรื่องโรคระบาด ซึ่งตรงนี้ฉันพอจะมีความรู้เรื่องโรคพืชอยู่บ้างนะคะ ถ้าไม่รังเกียจ ฉันขออาสาช่วยได้ไหมคะ” เหว่ยเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ
ฉินป๋อหลินมองเธอด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าเธอจะเสนอตัวเข้ามาช่วย
“คุณเนี่ยนะ?” เขาถามกลับด้วยความสงสัย
“ค่ะ ฉันเคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคพืชตอนอยู่ที่อเมริกาค่ะ” เหว่ยเฟิงตอบ “ฉันอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
ฉินป๋อหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตกลง
“เอาสิ เดี๋ยวผมเป็นลูกมือคุณเอง”
พอพูดคุยกันแล้ว เหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินก็เริ่มทำงานร่วมกันทันที ด้วยไม่อยากให้เสียเวลามากไปกว่านี้ โดยที่ช่วงบ่ายพวกเขาลงพื้นที่สำรวจไร่องุ่นทั้งหมด เพื่อเก็บตัวอย่างดินและใบองุ่นไปตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บ คงจะอีกหลายวันเลยทีเดียวกว่าผลแล็บจะออก
“ระหว่างรอผลแล็บ เราต้องทำระบบระบายน้ำและสารชีวภัณฑ์มาระงับการระบาดของโรคค่ะ” เมื่อออกจากห้องแล็บมา เหว่ยเฟิงก็พูดสิ่งที่เธอคิดให้ชายร่างสูงฟัง
“ปรับปรุงระบบระบายน้ำ? ใช้สารชีวภัณฑ์?” ฉินป๋อหลินหัวเราะในลำคอ “นี่คุณกำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า? นี่มันไร่องุ่นนะ ไม่ใช่ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ของคุณ”
เหว่ยเฟิงกัดฟันแน่น พยายามระงับอารมณ์ “ฉันไม่ได้ล้อเล่นค่ะคุณป๋อหลิน นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการกับเชื้อราชนิดนี้ ฉันมีข้อมูลและงานวิจัยรองรับ”
“ข้อมูล? งานวิจัย?” ฉินป๋อหลินแสยะยิ้ม “ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ผมต้องการวิธีที่เห็นผลเร็วและชัดเจน ไม่ใช่วิธีที่อ้อมค้อมแบบนี้”
เหว่ยเฟิงพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แต่ฉินป๋อหลินไม่ฟังเธอเลย เขาตัดสินใจใช้สารเคมีกำจัดเชื้อราแรง ๆ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญที่เขาจ้างมา แม้เหว่ยเฟิงจะคัดค้านเพียงใด แต่เขาก็หาได้สนใจคำพูดของเธอเลย
เวลาผ่านไปหลายวัน สถานการณ์ภายในไร่กลับเลวร้ายลง เชื้อรามีภูมิต้านทานต่อสารเคมี และยังแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของไร่องุ่นอีก ผลผลิตเสียหายหนักกว่าเดิม ฉินป๋อหลินรู้สึกเครียดและเริ่มกดดันตัวเอง ด้วยเขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
หรือจะไปขอความช่วยเหลือจากเหว่ยเฟิงดี ช่างเถอะ เป็นไงเป็นกัน
ในที่สุด เขาก็ยอมกลืนความหยิ่งยโสภายในใจ เดินทางไปหาเหว่ยเฟิงที่ห้องทำงาน เพื่อจะพูดคุยกับเธอตอนนี้
“ผม...คือผมอาจจะตัดสินใจผิดพลาด” เขาพูดเสียงแผ่ว “ตอนนี้สถานการณ์แย่ลงมาก ผม...ผมอยากลองใช้วิธีของคุณ”
เหว่ยเฟิงมองเขาด้วยสายตาที่อ่อนลง “ไม่เป็นไรค่ะคุณป๋อหลิน ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป”
ลึก ๆ แล้ว เธออยากจะหัวเราะเยาะให้กับความดื้อรั้นของเขาที่ไม่ยอมฟังเธอตั้งแต่แรก แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้อให้เธอทำตามอารมณ์ตัวเองได้
“ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือทำทางเดินระบายน้ำค่ะ เพื่อไม่ให้เกิดความชื้นสะสม พอทำตรงนี้เสร็จเราค่อยนำสารชีวภัณฑ์มาฉีดพ่นทั่วทั้งไร่ค่ะ”
เหว่ยเฟิงเริ่มอธิบายแผนการของเธออีกครั้งอย่างละเอียด คราวนี้ฉินป๋อหลินตั้งใจฟังเธอทุกคำพูด เขาเริ่มเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังวิธีการของเธอ
“เดี๋ยวนะ สารชีวภัณฑ์ต้องหมักอยู่หลายสัปดาห์ไม่ใช่เหรอกว่าจะเอาทำฉีดพ่นได้น่ะ”
“ค่ะ ทันทีที่ฉันทราบเรื่อง ฉันก็ทำการหมักสารชีวิภัณฑ์ไว้แล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง”
ฉินป๋อหลินแม้จะยังไม่ค่อยมั่นใจในวิธีของเหว่ยเฟิงนัก แต่เขาก็ยอมทำตามคำแนะนำของเธอ เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้
“อย่างนั้นผมก็เรียกให้คนงานมาขนถังพวกนี้ไปฉีดพ่นในไร่เลยแล้วกันนะ”
“ค่ะ” เหว่ยเฟิงพยักหน้า
จนสามวันผ่านไป โรคระบาดที่เกิดขึ้นกับผลองุ่น ซึ่งได้ใช้สารชีวภัณฑ์เข้าช่วยก็เกิดผล
“เหว่ยเฟิง สารที่คุณหมักไว้ได้ผลแล้วนะ ตอนนี้ศัตรูพืชเริ่มลดลงแล้ว” ฉินป๋อหลินเอ่ยกับเหว่ยเฟิงในเช้าวันหนึ่ง
“จริงเหรอคะ”
“ใช่ ต่อแต่นี้ต้องจัดการยังไงต่อล่ะครับ”
“เราคงต้องตัดแต่งกิ่งที่โดนเชื้อราทิ้งค่ะ แล้วค่อยเผาทิ้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคอีก” เหว่ยเฟิงอธิบายเหตุผลและหลักการทางวิทยาศาสตร์เบื้องหลังแนวทางของเธออย่างใจเย็น ในขณะที่ฉินป๋อหลินก็เริ่มเปิดใจรับฟังมากขึ้น เขาเริ่มเห็นว่าความรู้และประสบการณ์ของเหว่ยเฟิงนั้นมีประโยชน์มากเพียงใด
“ผมอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่” ฉินป๋อหลินยอมรับในที่สุด “แต่ผมเชื่อว่าคุณหวังดีกับพวกเรา”
เหว่ยเฟิงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “ขอบคุณค่ะคุณป๋อหลิน ฉันเชื่อว่าเราจะสามารถแก้ปัญหานี้ไปด้วยกันได้”
ความเห็นที่แตกต่างกันในตอนแรก กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับไร่องุ่นหยางกวง
“ผมขอโทษที่ไม่เชื่อคุณตั้งแต่แรก” ฉินป๋อหลินกล่าวอย่างจริงใจ “ผมจะทำทุกอย่างตามที่คุณบอก”
เหว่ยเฟิงยิ้มให้เขา “ไม่เป็นไรค่ะ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันนะคะ”
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ตรงนี้จะทำให้ทั้งคู่เริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น และยังลงมือช่วยคนงานตัดแต่งกิ่งที่เกิดเชื้อราทิ้งทั้งหมด เช่นนั้นแล้วทำให้คนทั้งสองได้เห็นมุมมองของกันและกันมากขึ้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉินป๋อหลินเริ่มเปิดใจรับฟังเหว่ยเฟิงมากขึ้น เขายอมรับว่าเธอมีความรู้ความสามารถ และเริ่มเห็นคุณค่าในตัวเธอ เขาเริ่มเข้าใจว่าการแก้ปัญหาบางครั้งต้องใช้เวลาและความอดทน ไม่ใช่ทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยเงินหรืออำนาจใด ๆ
เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ ภายใต้การทำงานอย่างหนักของเหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลิน รวมถึงความร่วมมือของคนงานในไร่ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถควบคุมโรคระบาดได้สำเร็จ ผลผลิตองุ่นเริ่มกลับมาดีขึ้นเรื่อย ๆ
ฉินหลงเจ๋อดีใจมากเมื่อเห็นไร่องุ่นที่ตนสร้างมากับมือกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เขาจึงเรียกลูกชายและเหว่ยเฟิงเข้ามาขอบคุณที่ร่วมมือช่วยกันเพื่อแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ได้สำเร็จ
“ขอบใจมากนะเหว่ยเฟิง” ฉินหลงเจ๋อกล่าว “เธอช่วยไร่องุ่นของเราไว้ได้จริง ๆ”
เหว่ยเฟิงยิ้มอย่างเขินอาย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุง เหว่ยเฟิงก็แค่ทำหน้าที่เท่านั้น”
“เอ๊ะ มาเรียกลุงได้ยังไงกัน ครั้งก่อนที่เจอกัน ฉันบอกให้เหว่ยเฟิงเรียกฉันว่าพ่อนิ ใช่ไหม” ฉินหลงเจ๋อเอ็ดเหว่ยเฟิงอย่างไม่จริงจังนัก หากก็มีความไม่พอใจปนอยู่ในประโยคคำพูดอยู่บ้าง
“เอ่อ ค่ะ คุณพ่อ”
“พ่อขอบใจลูกด้วยนะป๋อหลิน ที่ช่วยกันกับเหว่ยเฟิงทำให้ไร่องุ่นของเรากลับมาฟื้นฟูดังเดิม”
“ครับ คุณพ่อ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉินป๋อหลินเริ่มมองเหว่ยเฟิงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขาไม่เคยคิดเลยว่าสาวน้อยตัวเล็กในความทรงจำจะมีความสามารถมากขนาดนี้ เขาจึงเริ่มมองเห็นเหว่ยเฟิงในแง่มุมใหม่ และรู้สึกประทับใจในตัวเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ว่าเสียงของหวังซู่หลินที่คอยเป่าหูเรื่องเหว่ยเฟิงกับพ่อของเธอจะยังคงก้องอยู่ในหัว แต่ฉินป๋อหลินก็ไม่อาจปฏิเสธความสามารถและความทุ่มเทที่เหว่ยเฟิงแสดงออกมาได้
แม้ในใจจะเริ่มประทับใจในตัวเหว่ยเฟิง แต่ฉินป๋อหลินก็ยังคงรักษาท่าทีนิ่งเฉยเอาไว้ ด้วยเขาไม่อยากขัดใจแม่ที่คอยจับตามองเหว่ยเฟิงและพ่อของเธออยู่ตลอดเวลา เขาจึงเลือกที่จะเฝ้ามองเหว่ยเฟิงทำงานอย่างเงียบ ๆ เก็บความรู้สึกชื่นชมไว้ในใจ