บท
ตั้งค่า

สายฝนและหัวใจที่สั่นไหว

ยิ่งวันเวลาผ่านไป ฉินป๋อหลินก็ยิ่งรู้สึกทึ่งในตัวเหว่ยเฟิง เธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่เขาเคยเจอมาอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวไม่เคยพยายามทำตัวให้โดดเด่นหรือประจบประแจงเขาแต่อย่างใด ในทางกลับกันเหว่ยเฟิงนั้นเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง นิสัยที่ตรงไปตรงมา กล้าแสดงความคิดที่เห็นต่าง และไม่กลัวที่จะโต้แย้งกับเขาในเวลาที่เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างที่มันไม่ถูกต้อง

วันหนึ่ง ขณะที่ทั้งคู่กำลังตรวจสอบต้นองุ่นในไร่ด้วยกัน ฉินป๋อหลินก็อดไม่ได้ที่จะถามเธอว่า

“คุณเหว่ยเฟิง คุณไม่นึกกลัวผมบ้างเหรอ?”

เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นจากเถาองุ่นที่เธอกำลังดูอย่างตั้งใจ มองเขาด้วยสายตาสงสัย “กลัวอะไรคะ?”

“ก็...ผมเป็นถึงลูกชายเจ้าของไร่ คุณไม่กลัวว่าผมจะดุจะว่าอะไรคุณเหรอ ถ้าคุณทำอะไรไม่ถูกใจผมขึ้นมา”

เหว่ยเฟิงหัวเราะเบา ๆ “ไม่หรอกค่ะ ฉันเชื่อว่าคุณป๋อหลินเป็นคนที่มีเหตุผลมากพอ ถ้าฉันทำอะไรผิด ฉันก็พร้อมจะรับผิดชอบ แต่ถ้าฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันทำมันถูกต้อง ฉันจะยืนหยัดในสิ่งนั้นค่ะ”

คำตอบของเหว่ยเฟิงทำให้ป๋อหลินประหลาดใจมากกว่าเดิม ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงที่เขาเจอจะพยายามเอาใจเขา ทำให้เขารู้สึกพอใจ แต่เหว่ยเฟิงนั้นกลับแตกต่างออกไป เธอไม่เกรงกลัวเขา และไม่พยายามที่จะเป็นคนอื่นเพื่อให้เขาชอบ

“แปลกคนจริง” ฉินป๋อหลินได้แต่พึมพำกับตัวเอง

แม้ป๋อหลินจะนึกสนใจอยากรู้จักเหว่ยเฟิงให้มากขึ้น แต่เหว่ยเฟิงกลับไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกัน เธอเห็นเขาเป็นเพียงคุณชายเย็นชาที่ไม่เคยเห็นหัวใคร เธอไม่นึกสนใจเขา และยังคงมุ่งมั่นกับการทำงานเพื่อเก็บเงินให้ได้มากที่สุด

ความฝันของเหว่ยเฟิงไม่ได้หยุดอยู่แค่การหาเงิน เธอวาดภาพอนาคตที่สดใสกว่านี้ไว้ในใจ เธออยากพาพ่อและน้องชายออกจากไร่องุ่นแห่งนี้ ไปตั้งรกรากในเมืองใหญ่ที่มีโอกาสมากกว่า เธออยากให้พ่อได้พักผ่อนหลังจากตรากตรำทำงานมาทั้งชีวิต และอยากให้น้องชายได้มีโอกาสเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดี ๆ เหมือนเธอ ไม่ว่าจะในอเมริกา หรือแม้แต่ในปักกิ่งก็ยังดี

แต่ความฝันของเธอก็เหมือนถูกพันธนาการไว้ด้วยความผูกพันของพ่อแม้เธอจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ท่านเกษียณและย้ายไปอยู่ด้วยกัน แต่เขาก็ยังคงยึดติดกับไร่องุ่นหยางกวงและฉินหลงเจ๋อ เขาไม่ต้องการทิ้งงานและนายจ้างที่เขารักและเคารพไปไหน จึงปฏิเสธคำขอของเธอตลอด

เหว่ยเฟิงถอนหายใจ เธอรู้ว่าพ่อรักและเป็นห่วงเธอ แต่เธอก็อยากให้พ่อเข้าใจความฝันของเธอเช่นกัน เธอคงต้องพยายามต่อไป หาทางทำให้พ่อเห็นด้วยและยอมย้ายไปอยู่กับเธอและน้องชายให้ได้

เหว่ยเฟิงเงยหน้าจากกองเอกสาร เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นชื่อ 'หลิวกู้หย่ง' บนหน้าจอ ความทรงจำเก่า ๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้ง

“ฮัลโหล”

“เหว่ยเฟิงเหรอ ผมเอง กู้หย่ง” เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยขึ้น “ผมจะกลับปักกิ่งแล้วนะ แล้วก็...ผมอยากไปหาคุณที่ต้าหลี่”

เหว่ยเฟิงกำโทรศัพท์แน่น ความรู้สึกมากมายตีตื้นขึ้นมา เธอพยายามลืมเรื่องราวในอดีต แต่คำพูดของกู้หย่งก็ทำให้เธออดคิดถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยมีร่วมกันไม่ได้

เธอจำได้ถึงวันที่เธอกำลังเคร่งเครียดกับงานวิจัย จะคอยมีหลิวกู้อยู่ข้าง ๆ เป็นกำลังใจให้เธอเสมอ เขาจะซื้อกาแฟ ซื้อขนม ซื้อข้าวมาให้เธอตลอด แล้วนั่งคุยกันจนเธอหายเหนื่อย แม้เธอจะตัดขาดกับเขาไปแล้ว แต่ความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้นก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเธอ

“อย่ามาเลยค่ะ ฉันไม่สะดวกพบคุณจริง ๆ”

เหว่ยเฟิงตัดสินใจวางสาย เธอรู้ว่ายังไม่พร้อมที่จะพบเจอเขาตอนนี้ เธอต้องการเวลา...

ในยามเย็นหลังเลิกงาน เหว่ยเฟิงมักจะปั่นจักรยานคู่ใจไปยังร้านกาแฟประจำ เธอสั่งกาแฟแก้วโปรดของหลิวกู้หย่ง แม้จะรู้ว่าไม่เหมาะกับเวลานี้เท่าไหร่ ด้วยรู้ดีว่าหัวใจกำลังอ่อนแอ

เธอนั่งจมอยู่กับความคิดนานหลายชั่วโมง จนฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ทำให้เธอไม่สามารถปั่นจักรยานกลับได้

ทว่า เงาของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ เธอ พร้อมกับร่มคันใหญ่ที่กางกั้นสายฝนเอาไว้ เหว่ยเฟิงหันไปมอง และก็ต้องตกใจเมื่อพบกับฉินป๋อหลินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นร่มมาและกางให้เธอ

“ขอบคุณค่ะ” เหว่ยเฟิงรับร่มมาด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ฝนตกหนักแบบนี้ ฉันคงปั่นจักรยานกลับไม่ได้...”

“งั้นกลับไร่องุ่นไปพร้อมกับผม ทิ้งจักรยานของคุณไว้ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้คนมาเอากลับไป” ป๋อหลินพูดขึ้น

“เอ่อ ค่ะ”

เหว่ยเฟิงลังเล แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง ทั้งสองเดินฝ่าสายฝนไปยังรถของฉินป๋อหลิน เขาคอยกางร่มให้เธออย่างระมัดระวัง เหว่ยเฟิงมองเขาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เธอไม่เคยเห็นมุมอ่อนโยนแบบนี้ของเขามาก่อน

ในรถ บรรยากาศเงียบสงบ เหว่ยเฟิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ความคิดของเธอยังคงวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องราวของหลิวกู้หย่ง

“ขอบคุณคุณป๋อหลินนะคะ ที่ให้ฉันติดรถกลับมาด้วย” เมื่อถึงไร่องุ่น เหว่ยเฟิงเอ่ยขอบคุณฉินป๋อหลินอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร ผมก็แค่บังเอิญขับรถผ่านมา” ป๋อหลินยิ้มให้เธอ “แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

เหว่ยเฟิงพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าบ้านพักคนงานไป ฉินป๋อหลินมองตามหลังเธอไปจนลับสายตา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา

ทำไมเขาถึงต้องแอบตามเธอไปด้วย ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของฉินป๋อหลิน เขารู้สึกสับสนและอยากรู้คำตอบเหลือเกิน

ภายในห้องพักอันเงียบสงัดของคฤหาสน์ตระกูลฉิน ฉินหลงเจ๋อนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด อาการมะเร็งตับของเขากำเริบขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้ดีว่าเวลาของเขาเหลือน้อยลงทุกที

ด้วยความรู้สึกอ่อนแอและกังวล ฉินหลงเจ๋อจึงบอกให้คนไปเรียกเหว่ยเซิน ผู้ดูแลไร่องุ่นที่ซื่อสัตย์และเป็นเสมือนเพื่อนสนิทของเขามาพบ ไม่นานเหว่ยเซินก็เข้ามาหาตน

“เหว่ยเซิน...” ฉินหลงเจ๋อเอ่ยเรียกด้วยเสียงแหบพร่า “มานั่งใกล้ ๆ ฉันหน่อย”

เหว่ยเซินเดินเข้ามาใกล้เตียงด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณฉิน ท่านเป็นอะไรไปหรือครับ”

ฉินหลงเจ๋อจับมือเหว่ยเซินไว้แน่น “ฉันรู้แล้วว่าฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้อง”

เหว่ยเซินมองหน้าฉินหลงเจ๋อด้วยความตกใจ “เรื่องอะไรหรือครับ คุณฉินบอกมาได้เลย ผมจะทำให้ทุกอย่าง”

ฉินหลงเจ๋อสูดหายใจเข้าลึก “จำได้ไหม ที่เราเคยให้สัญญากันไว้เมื่อหลายปีก่อน”

เหว่ยเซินขมวดคิ้วพยายามนึก เขาจำได้ว่าเคยให้สัญญากับฉินหลงเจ๋อไว้ แต่มันนานมากแล้วจนเขาเกือบลืมไปแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel