สัญญาหัวใจ
ฉินหลงเจ๋อมองลึกเข้าไปในดวงตาของเหว่ยเซิน เสียงของเขาแผ่วเบาลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต
“สัญญาที่ว่า... เหว่ยเฟิง ลูกสาวของนาย จะต้องแต่งงานกับป๋อหลิน ลูกชายของฉัน นายยังจำได้ไหม”
เหว่ยเซินเบิกตากว้าง ความทรงจำเก่า ๆ วิ่งเข้ามาในหัวราวกับภาพยนตร์ ฉากวันนั้นที่ฉินหลงเจ๋อขอให้เหว่ยเซินผู้ซื่อสัตย์ให้คำมั่นสัญญาที่จะดูแลลูกชายเขา และในวันที่เหมาะสม ฉินป๋อหลินจะแต่งงานกับเหว่ยเฟิง เพื่อผูกสัมพันธ์สองครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
“ผมจำได้ครับ คุณฉิน” เหว่ยเซินพยักหน้าช้า ๆ หัวใจของเขาหนักอึ้งด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความเสียใจต่อเพื่อนรักที่กำลังจะจากไป และความกังวลต่ออนาคตของลูกสาว
“ฉันรู้ว่ามันอาจจะดูเห็นแก่ตัว” ฉินหลงเจ๋อกล่าวต่อ “แต่ฉันเป็นห่วงป๋อหลินเหลือเกิน เขาไม่เคยต้องเผชิญความยากลำบากอะไรเลย ฉันกลัวว่าถ้าฉันไม่อยู่แล้ว เขาจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ฉันอยากให้เหว่ยเฟิงช่วยดูแลเขา เธอเป็นเด็กดี มีความสามารถ และฉันเชื่อว่าเธอจะสามารถทำให้ป๋อหลินเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งได้”
เหว่ยเซินเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจความรู้สึกของฉินหลงเจ๋อดี เขาเองก็รักและเป็นห่วงลูกสาวของเขามากเช่นกัน แต่เขาก็รู้ว่าเหว่ยเฟิงมีความคิดเป็นของตัวเอง และเขาไม่อยากบังคับให้เธอทำอะไรที่เธอไม่ต้องการ
“ผมจะคุยกับเหว่ยเฟิงเองครับ” เหว่ยเซินตอบในที่สุด “แต่ผมไม่สามารถบังคับให้เธอแต่งงานกับใครได้ การตัดสินใจอยู่ที่ตัวเธอเอง”
ฉินหลงเจ๋อพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ฉันรู้ ฉันแค่ขอให้เธอพิจารณาเรื่องนี้ด้วยก็พอ”
ย้อนกลับไปในวัยหนุ่ม เหว่ยเซินและฉินหลงเจ๋อเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเรียน ทั้งคู่มีความฝันร่วมกันที่จะสร้างไร่องุ่นที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าฉินหลงเจ๋อจะเติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เขาก็ไม่เคยถือตัว และปฏิบัติกับเหว่ยเซินอย่างเท่าเทียมเสมอมา ครอบครัวของฉินหลงเจ๋อยังคอยช่วยเหลือเหว่ยเซินในยามที่เขาและครอบครัวลำบาก ทำให้เหว่ยเซินรู้สึกซาบซึ้งและรักเพื่อนคนนี้มาก
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อเหว่ยเซินต้องละทิ้งความฝันไปเพราะปัญหาทางบ้าน เขาจำต้องกลับไปดูแลครอบครัว ทิ้งฉินหลงเจ๋อไว้ให้เดินตามความฝันเพียงลำพัง แม้จะเจ็บปวด แต่เหว่ยเซินก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น เขาต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวของเขา
ฉินหลงเจ๋อเข้าใจและยอมรับการตัดสินใจของเพื่อน แม้จะรู้สึกเสียใจที่ต้องแยกจาก แต่เขาก็ให้สัญญากับเหว่ยเซินว่าจะไม่ลืมความฝันที่พวกเขามีร่วมกัน เขาจะสร้างไร่องุ่นที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ และจะแบ่งปันความสำเร็จนั้นกับเหว่ยเซินเสมอ
หลายปีผ่านไป ครอบครัวฉินต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ ธุรกิจไร่องุ่นกำลังจะล้มละลาย ฉินหลงเจ๋อหมดหนทางที่จะแก้ไขปัญหา แต่แล้วเหว่ยเซินก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เขาใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีช่วยประคองธุรกิจของเพื่อนรักเอาไว้ได้
ในวันที่ฉินหลงเจ๋อสามารถยืนหยัดได้อีกครั้ง เขาซาบซึ้งในน้ำใจของเหว่ยเซินเป็นอย่างมาก เขาจึงเอ่ยปากขอให้เหว่ยเซินรับปากว่าจะให้ลูกของทั้งสองแต่งงานกันในอนาคต เพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์และตอบแทนบุญคุณที่เหว่ยเซินมีให้
เหว่ยเซินรับปากโดยไม่ลังเล แม้ว่าในตอนนั้นลูกของทั้งคู่ยังไม่เกิดก็ตาม เหว่ยเซินรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของฉินหลงเจ๋อที่เคยช่วยเหลือครอบครัวเขามาโดยตลอด เขาจึงอยากตอบแทนบุญคุณเพื่อนรัก และอยากให้เหว่ยเฟิงมีชีวิตที่มั่นคงปลอดภัย เขาจึงตอบรับข้อเสนอการแต่งงานของลูก ๆ ทั้งสองโดยไม่ลังเล
แต่ในทางกลับกัน หวังซู่หลิน ภรรยาของฉินหลงเจ๋อ กลับไม่พอใจกับข้อตกลงนี้อย่างมาก เธอคิดว่าเหว่ยเฟิงไม่คู่ควรกับลูกชายของเธอ เธอต้องการให้ลูกชายแต่งงานกับผู้หญิงที่มีฐานะทางสังคมที่สูงกว่า เพื่อรักษาชื่อเสียงและความมั่งคั่งของตระกูลฉินเอาไว้
ในห้องครัวที่กว้างขวางของคฤหาสน์ตระกูลฉิน หวังซู่หลินก้าวเข้ามาด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย แต่เมื่อเห็นเหว่ยเฟิงกำลังช่วยคนครัวเตรียมอาหารเย็น รอยยิ้มของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ยทันที
“โอ้โห นี่คุณหนูเหว่ยเฟิงมาช่วยงานในครัวด้วยเหรอ? ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะเนี่ย” น้ำเสียงของเธอแหลมสูงและเต็มไปด้วยการเสียดสี
เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นจากเขียงที่กำลังหั่นผัก มุมปากยังคงยกยิ้ม
“สวัสดีค่ะคุณนายหวัง ฉันแค่มาช่วยนิดหน่อยค่ะ เห็นว่าคนครัวทำอาหารเยอะเลยอยากมาช่วยแบ่งเบาภาระ”
หวังซู่หลินหัวเราะคิกคัก “อุ๊ยตายจริง! ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ เดี๋ยวมือสวย ๆ ของคุณจะด้านหมด ฉันกลัวว่าคุณจะหยิบจับทำงานครัวไม่เป็น เห็นเอาแต่อ่อยผู้ชายในไร่องุ่นไปวัน ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันทำได้” ถึงแม้เหว่ยเฟิงจะรู้สึกเจ็บแปลบในใจ หากพยายามเก็บอาการไว้
หวังซู่หลินแค่นเสียงหัวเราะ “ทำได้เหรอ? อย่าลืมนะคะว่าตระกูลฉินของฉันไม่ใช่พวกบ้านนอกคอกนาอย่างคุณ จะมาอ่อยผู้ชายหรือมาทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้หรอกนะ”
ทันใดนั้น เหว่ยเซินก็เดินเข้ามาในครัวพอดี “คุณนายหวังครับ เหว่ยเฟิงเขาแค่...”
หวังซู่หลินไม่รอให้เหว่ยเซินพูดจบ ตัดบททันที “คุณเหว่ยเซินคะ ฉันว่าคุณควรจะสอนลูกสาวคุณให้รู้จักกาละเทศะบ้างนะคะ อย่าให้มาทำอะไรที่มันต่ำต้อยแบบนี้เลยค่ะ ที่สำคัญ อย่าให้มาวุ่นวายกับลูกชายฉันด้วย เข้าใจไหมคะ”
เหว่ยเฟิงรู้สึกโมโห แต่พยายามข่มอารมณ์ไว้ “ฉันไม่ได้คิดว่าการทำงานในครัวนี้เป็นเรื่องต่ำต้อยนะคะคุณนายหวัง”
“ก็แน่ล่ะสิคะ คนที่โตมาในไร่องุ่นคงไม่เข้าใจหรอกค่ะว่าอะไรคือความเหมาะสม และคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองน่ะมันคนละชั้นกับลูกชายฉัน” หวังซู่หลินมองเหว่ยเฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม
เหว่ยเซินหน้าเสีย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าคุณนายหวัง
“เอาล่ะค่ะ ฉันไปก่อนนะคะ ยังมีธุระต้องจัดการอีกเยอะ ไว้เจอกันตอนทานอาหารเย็นนะคุณหนูเหว่ยเฟิง” หวังซู่หลินสะบัดหน้าเดินออกจากครัวไป ทิ้งให้เหว่ยเฟิงและเหว่ยเซินยืนอยู่ด้วยความรู้สึกอึดอัด
“พ่อคะ...นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมคุณนายหวังต้องพูดถึงคุณชายป๋อหลินด้วย เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนูเลยสักนิด”
เหว่ยเฟิงที่ทนความรู้สึกพวกนี้ไม่ไหวต้องวางมือจากงานในครัว แล้วจูงแขนบิดาให้ไปพูดคุยกับเธอในที่ลับตาคน
เหว่ยเซินถอนหายใจยาว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ลำบากใจไม่น้อยเช่นกัน
“เฟิงเอ๋อร์ พ่อมีเรื่องต้องบอกลูก...” เขาเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีต ความสัมพันธ์ของเขากับฉินหลงเจ๋อ สัญญาที่เคยให้ไว้ และข้อตกลงเรื่องการแต่งงานของลูก ๆ ทั้งสอง
ยิ่งฟัง เหว่ยเฟิงก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบรัดหัวใจ เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย เธอรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง โกรธที่พ่อไม่เคยบอก และเสียใจที่อนาคตของเธอถูกกำหนดไว้โดยที่เธอไม่รู้ตัว
เมื่อเหว่ยเซินเล่าจบ เหว่ยเฟิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เธอรู้สึกอ่อนแรงไปหมด น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ
“พ่อ...ทำไมพ่อไม่เคยบอกหนูเลยล่ะคะ” เธอถามเสียงสั่น
“พ่อขอโทษ พ่อแค่...” เหว่ยเซินมองลูกสาวด้วยความรู้สึกผิดและหยุดประโยคที่จะเอ่ยกับเหว่ยเฟิงไปเสียดื้อ ๆ
“พ่อแค่ไม่อยากให้หนูลำบาก” เหว่ยเฟิงพูดต่อให้จบประโยค “หนูรู้ค่ะพ่อ แต่หนูก็มีชีวิตของหนู หนูมีสิทธิ์ที่จะเลือกอนาคตของตัวเองนะคะ”