เงาริษยา
ท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน ฉินป๋อหลินนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง ทาบทับใบหน้าคมคายของเขาให้ดูหม่นหมองลงไปอีก
หัวใจของฉินป๋อหลินกำลังต่อสู้กับความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในใจของเขา เหว่ยเฟิงคือผู้หญิงที่ยิ่งได้รู้จักเธอมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกหลงใหลในตัวเธอมากขึ้นเท่านั้น
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกอึดอัดกับการถูกบังคับให้แต่งงาน เขาไม่ต้องการแต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้เลือก แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นเหว่ยเฟิงก็ตาม เขาอยากจะเลือกคู่ชีวิตของตัวเอง อยากจะแต่งงานเพราะความรักของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เพราะหน้าที่หรือความกตัญญูแต่อย่างใด
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่เขายังรู้สึกผิดต่อพ่อ ฉินหลงเจ๋อ แม้ว่าจะไม่เคยแสดงออก ทว่าฉินป๋อหลินเองก็ยังรักและเคารพพ่อเช่นเดิม อีกอย่างเขาไม่อยากทำให้พ่อผิดหวังหรือเสียใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ท่านกำลังป่วยหนักเช่นนี้
“ควรทำยังไงดี” ฉินป๋อหลินพึมพำกับตัวเอง เขาไม่รู้ว่าควรเลือกทำตามความต้องการของพ่อดีหรือไม่
หากเลือกทำในสิ่งบิดาต้องการ เขาจะมีความสุขกับชีวิตคู่ที่พ่อเลือกให้ไหม เขาก็ไม่อาจคาดเดาได้
หรือจะลองเสี่ยงดู
เสี่ยงไปแล้วจะคุ้มกันเหรอ เกิดแต่งงานแล้วอยู่กินกัน แล้วไปกันไม่ได้ ต่อจากนั้นคงได้เลิกรา จนถึงขนาดที่ว่ามองหน้ากันไม่ติดเลยก็ได้
ฉินป๋อหลินเฝ้าถามและพูดคุยกับตัวเอง เพื่อจะหาข้อสรุปที่ลงตัวที่สุด
ในขณะเดียวกัน ฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงไม่อาจทราบเลยว่ากำลังโดนใครคนหนึ่งกำลังคิดร้ายกับตน
หย่าจือ หญิงสาวผู้เป็นลูกสาวคนงานในไร่องุ่นหยางกวงที่โตมาพร้อมฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิง ซึ่งนางแอบหลงรักฉินป๋อหลินมานาน เฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดเขา หากก็ไม่เคยได้รับความสนใจจากฉินป๋อเลย ครั้นเห็นว่าชายหนุ่มทำงานใกล้ชิดกับเหว่ยเฟิงก็เกิดความอิจฉาริษยา ทำให้ความรู้สึกนั้นเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอเห็นเหว่ยเฟิงเป็นเหมือนเสี้ยนหนามที่ต้องกำจัด
วันหนึ่ง ขณะที่หย่าจือออกมาร้านกาแฟเจ้าประจำในหมู่บ้าน ระหว่างที่รอกาแฟนางได้ยินเหว่ยเฟิงคุยโทรศัพท์กับหลิวกู้หย่ง พอได้เมนูที่สั่งแล้วเธอรีบไปรายงานฉินป๋อหลินทันที
“สวัสดีค่ะ คุณชาย ฉันหย่าจือนะคะ”
ฉินป่อหลินที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชาคนเดียว จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเข้ามาแนะนำตัวกับตน ซึ่งเขาที่ไม่ได้รู้จักกับนางก็ตกใจเล็กน้อยที่อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงเข้าหาอยู่แล้ว
“เอ่อ ครับ”
“คุณชายสะดวกไหมคะ หากฉันมีเรื่องจะพูดคุยด้วย”
“ครับ”
“เมื่อครู่ตอนที่ฉันอยู่ในร้านกาแฟ ฉันเห็นเหว่ยเฟิงคุยโทรศัพท์กับแฟนเก่าของเธอค่ะ เธอบอกว่าเธอคิดถึงเขามาก และอยากจะกลับไปหาเขาที่ปักกิ่ง เห็นว่าผู้ชายคนนั้นกำลังเดือดร้อนเรื่องเงินอยู่ด้วย เหว่ยเฟิงอาจจะวางแผนเอาเงินไปปรนเปรอผู้ชายคนนั้นก็เป็นได้นะคะ”
ฉินป๋อหลินขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่หย่าจือรายงานมา เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“หย่าจือ แน่ใจนะว่าได้ยินเหว่ยเฟิงพูดแบบนั้นจริง ๆ”
หย่าจือพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ค่ะคุณชาย ฉันได้ยินกับหูตัวเอง เธอพูดว่าคิดถึงหลิวกู้หย่งมาก และอยากจะกลับไปหาเขาที่ปักกิ่ง”
ฉินป๋อหลินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แล้วเรื่องเงินที่คุณว่า เธอพูดถึงมันยังไง”
หย่าจือทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนตอบ “ฉันได้ยินเรื่องเงินค่ะ มีถามย้ำด้วยว่าหลิวกู้หย่งกำลังเดือดร้อนเรื่องเงินอยู่จริง ๆ น่ะหรือ ไหนว่าตระกูลหลิวร่ำรวยมากอย่างไรล่ะ แต่ฉันคิดดูแล้วมันเป็นไปได้นะคะ ที่เหว่ยเฟิงอาจจะวางแผนฮุบไร่องุ่นและเอาเงินไปปรนเปรอผู้ชายคนนั้น”
ฉินป๋อหลินพยักหน้ารับ “ขอบคุณสำหรับข้อมูล หย่าจือ”
หย่าจือยิ้มด้วยความพอใจก่อนจะขอตัวออกไป ทิ้งให้ฉินป๋อหลินนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของหย่าจือมากแค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ เขาตัดสินใจว่าจะลองสังเกตพฤติกรรมของเหว่ยเฟิงดู
ขณะที่ป๋อหลินกำลังเดินครุ่นคิดไม่ตกอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเหว่ยเฟิงคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลจากตรงที่เขานั่งเท่าไหร่
“กู้หย่ง...ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่สามารถช่วยอะไรนายได้ ตอนนี้ฉันยังไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น” เสียงของเหว่ยเฟิงแผ่วลง
“แต่ถ้าในวันหน้าฉันมีเงินเยอะกว่านี้ก็อาจจะ...” เธอเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ว่าพอมีปัญหาก็กลับมาหาฉัน ว่าแต่ทำไมนายไม่ขอความช่วยเหลือจากหยางซิงล่ะ”
ฉินป๋อหลินไม่ได้ยินบทสนทนาที่เหลือ หากก่อนหน้าเขาไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรบ้าง แต่เห็นสีหน้าของเหว่ยเฟิงตอนคุยสายแล้ว คำพูดของหย่าจือผสมกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน ทำให้ความสงสัยในตัวเหว่ยเฟิงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
เธอมีเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า? หรือเธอมาที่นี่เพื่อหวังผลประโยชน์จากตระกูลของเขาอย่างที่แม่คอยพร่ำบอกเขาอยู่เรื่อย ๆ?
และตรงนี้เองที่ความไม่ไว้วางใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของฉินป๋อหลิน