การตัดสินใจ
หลายวันต่อมา
แม้ใจจะยังคงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยที่มีต่อเหว่ยเฟิง แต่เมื่อเช้าวันหนึ่งฉินป๋อหลินเข้าไปหาบิดาที่นอนอยู่ในห้องของท่าน ทันทีที่ฉินหลงเจ๋อเห็นลูกชาย เจ้าตัวก็เอ่ยปากขอร้องด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงและเต็มไปด้วยความหวัง จนป๋อหลินก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“อาหลิน ลูกพ่อ” ฉินหลงเจ๋อเอ่ยเรียกชื่อลูกชายด้วยเสียงแผ่วเบา “พ่อรู้ว่าพ่อคงอยู่กับลูกได้อีกไม่นาน”
ฉินป๋อหลินรู้สึกจุกในอก เขาไม่เคยเห็นพ่ออ่อนแอเช่นนี้มาก่อน “พ่อครับ อย่าพูดแบบนี้สิครับ”
“พ่อขอร้องลูก แต่งงานกับเหว่ยเฟิงเถอะนะ” ฉินหลงเจ๋อกุมมือลูกชายไว้แน่น “พ่ออยากเห็นลูกมีความสุข มีครอบครัวที่อบอุ่นก่อนที่พ่อจะจากไป”
ฉินป๋อหลินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับเสียงแผ่ว “ครับพ่อ ผมจะแต่งงานกับเหว่ยเฟิง”
หวังซู่หลินที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ถึงกับโพล่งขึ้นทันทีด้วยความไม่พอใจ “ไม่ได้นะหลงเจ๋อ! ฉันไม่ยอมให้ลูกชายของฉันแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด”
ป๋อหลินหันไปมองมารดาด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “แม่ครับ นี่เป็นความปรารถนาสุดท้ายของพ่อ ผมจะทำให้พ่อสมหวัง ได้โปรดอย่าห้ามผม!”
หวังซู่หลินหน้าเสีย เธอไม่เคยคิดเลยว่าลูกชายจะกล้าขัดใจเธอ “แต่ป๋อหลิน...”
“ไม่มีแต่ครับแม่” ฉินป๋อหลินพูดเสียงแข็ง “ผมตัดสินใจแล้ว”
ในขณะเดียวกัน ที่บ้านพักของคนงาน สามคนพ่อลูกกำลังนั่งเผชิญหน้ากันอย่างไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา จนกระทั่งเหว่ยเซินที่มองลูกทั้งสอง แล้วพูดขึ้นมาว่า
“เหว่ยเฟิง พ่อรู้ว่าสิ่งที่พ่อขอมันกะทันหัน แต่พ่ออยากให้ลูกตอบตกลงนะ ได้ไหม”
เหว่ยเฟิงส่ายหน้าทันที “ไม่ได้หรอกค่ะพ่อ หนูไม่อยากแต่งงานกับคนที่หนูไม่ได้รัก หนูไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณชายป๋อหลินเลยสักนิดเดียว”
“เฟิงเอ๋อร์” เหว่ยเซินเอ่ยเสียงอ่อน “พ่อรู้ว่าลูกคงลำบากใจ แต่พ่ออยากให้ลูกคิดถึงบุญคุณที่ตระกูลฉินมีให้กับครอบครัวของเรา และพ่อได้ให้สัญญากับเขาไว้แล้ว”
เหว่ยเฟิงนิ่งเงียบไป รู้ดีว่าพ่อของเธอเป็นคนรักษาคำพูด และเธอเองก็รู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของฉินหลงเจ๋อที่มีต่อครอบครัวของเธอมาโดยตลอด
“แต่พ่อคะ...” เหว่ยเฟิงพยายามจะแย้ง
“เฟิงเอ๋อร์” เหว่ยเซินขัดขึ้น “พ่อขอร้องล่ะลูก”
เหว่ยเฟิงมองหน้าบิดา เธอเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและความกังวล เช่นนั้นแล้วก็ทำให้เธอรู้ได้ว่าเธอไม่อาจจะปฏิเสธพ่อได้
“ค่ะพ่อ” เหว่ยเฟิงตอบรับในที่สุด น้ำตาคลอหน่วย “หนูจะแต่งงานค่ะ”
เหว่ยเซินยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เขากอดลูกสาวไว้แนบอก “ขอบคุณนะลูก พ่อรู้ว่าลูกเป็นเด็กดี”
อย่างนั้นแล้ว ข่าวการแต่งงานของฉินป๋อหลินกับเหว่ยเฟิงก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักในไร่องุ่นหยางกวงราวกับพายุที่พัดกระหน่ำ ความยินดีปะปนกับเสียงวิจารณ์ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่สำหรับหย่าจือ หญิงสาวที่เฝ้ารอคอยป๋อหลินมาเนิ่นนาน ข่าวนี้นำมาซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัส เหมือนโลกทั้งใบของเธอมืดมิดลงในพริบตา
ซึ่งข่าวที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วนี้เอง เหว่ยเฟิงเองก็ไม่รอดพ้นจากสายตาและคำพูดของผู้คน เธอได้ยินเสียงซุบซิบนินทาที่ลอยมาเข้าหู หากเธอเลือกที่จะเมินเฉย ด้วยเธอรู้ดีว่าคนพวกนี้แค่ต้องการสร้างเรื่องให้เธอไม่สบายใจ เธอจะไม่ยอมให้คำพูดของใครมาบั่นทอนความสุขของเธอเด็ดขาด
ทันทีที่เหว่ยเฟิงกำลังเดินผ่านไป หย่าจือก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยท่าทางแข็งกระด้าง รอยยิ้มที่เคยมีแปรเปลี่ยนเป็นความเหยียดหยัน
“กลับมาได้ไม่นานก็มีข่าวว่าจะได้เป็นคุณนายใหญ่แห่งตระกูลฉินแล้วเหรอจ๊ะ” เธอพูดเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะเยาะ “ฝันหวานไปหรือเปล่า เธอมันก็แค่ลูกสาวคนงาน ไม่มีทางเหมาะสมกับคุณชายป๋อหลินหรอก”
เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหย่าจือที่เดินมาหาเรื่อง อยากจะตอบโต้อยู่เช่นกัน หากไม่ใช่นิสัยของเธอ จึงพยายามระงับอารมณ์ตัวเองไว้ แล้วเอ่ยตอบกลับไป “ฉันไม่ได้อยากแต่งงานกับเขาสักหน่อย”
หย่าจือเลิกคิ้ว พลางจ้องเหว่ยเฟิงด้วยสายตาตำหนิ “เหรอ? แล้วทำไมถึงตอบตกลงล่ะ หรือว่าหวังสมบัติของตระกูลของเขาอยู่?”
“หย่าจือ พูดจาให้มันดี ๆ หน่อย จะตายหรืออย่างไร!” เหว่ยเฟิงเริ่มหมดความอดทนกับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าแล้วสิ
ขณะที่หย่าจือกำลังหาเรื่องเหน็บแนมเหว่ยเฟิงอย่างเผ็ดร้อน คนรับใช้ของหวังซู่หลินก็มาถึง
“คุณเหว่ยเฟิงคะ คุณนายใหญ่ต้องการพบค่ะ”
เหว่ยเฟิงชะงักไปเล็กน้อย รู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง แต่เธอก็พยักหน้ารับและเดินตามคนรับใช้ไป รู้ดีว่าการพบกันครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องดี แต่เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน
ในห้องรับรองที่หรูหราของคฤหาสน์ตระกูลฉิน บรรยากาศกลับเย็นยะเยือกผิดกับความโอ่อ่าของสถานที่สวยงามเช่นนี้ หวังซู่หลินนั่งจิบชาอย่างสงบนิ่งบนโซฟาหรู รอคอยเหว่ยเฟิงที่เธอเรียกตัวมาพบเพียงลำพัง
ไม่นานนัก เหว่ยเฟิงก็เดินเข้ามาในห้อง เธอโค้งศีรษะให้หวังซู่หลินอย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะคุณนายหวัง”
หวังซู่หลินวางถ้วยชาลง มองเหว่ยเฟิงด้วยสายตาเย็นชา “นั่งสิ” เธอผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
เหว่ยเฟิงนั่งลงอย่างว่าง่าย เธอรู้ดีว่าการพบกันครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องดี
“เหว่ยเฟิง ฉันขอพูดตรง ๆ อย่างไม่อ้อมค้อมเลยแล้วกันนะ” หวังซู่หลินเริ่มเอ่ย “ฉันรู้ว่าเธอคงดีใจมากที่จะได้แต่งงานกับลูกชายของฉัน”
เหว่ยเฟิงเงียบ ด้วยเธอไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมรับเธอในฐานะสะใภ้” หวังซู่หลินพูดต่อ น้ำเสียงของเธอแข็งกร้าว “เธอมันก็แค่ลูกสาวคนงานในไร่ อย่าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มาเทียบชั้นกับลูกชายสุดที่รักของฉัน จำเอาไว้ว่า เธอไม่คู่ควรกับเขา”
เหว่ยเฟิงรู้สึกเจ็บแปลบในอก หากก็พยายามเก็บอาการซ่อนความเสียใจเอาไว้ในอกลึก “ฉันไม่เคยคิดจะเทียบชั้นกับใครค่ะคุณนายหวัง”
“เหรอ?” หวังซู่หลินแค่นเสียงหัวเราะ “แต่การกระทำของเธอมันสวนทางกับคำพูดนะ เธอพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ ทำเป็นวิจัยพืชและเชื้อรา พยายามเข้าใกล้ป๋อหลินสุดตัว ซึ่งฉันเห็นหมดทุกอย่างที่เธอทำ”
เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหวังซู่หลินตรง ๆ ไม่มีแววเกรงกลัวแม้แต่น้อย “ฉันทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจค่ะ ฉันแค่อยากจะช่วยเหลือไร่องุ่นก็เพียงเท่านั้น”
“ช่วยเหลือ?” หวังซู่หลินยิ้มเยาะ “ฉันว่าไม่ใช่หรอก ฉันว่าเธอหวังอะไรมากกว่านั้น? หรือเธอหวังสมบัติของตระกูลฉินงั้นเหรอ?”
เหว่ยเฟิงที่ทนฟังคำพูดเหยียดหยามของคุณนายหวังรู้สึกโกรธเป็นอย่างมากที่โดนดูถูกเช่นนี้ หากเธอก็พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อให้ตัวเองได้รับความยุติธรรม “ฉันไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นค่ะ”
“อย่ามาโกหกฉัน!” หวังซู่หลินตวาดเสียงดัง “ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เธอมันก็เหมือนพ่อของเธอ หวังจะมาปอกลอกสมบัติของตระกูลฉินกันทั้งพ่อทั้งลูก”
เหว่ยเฟิงกำมือแน่น เธออยากจะลุกขึ้นตบหน้าหวังซู่หลินเหลือเกิน แต่เธอก็รู้ว่าเธอทำแบบนั้นไม่ได้
“ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นค่ะคุณนายหวัง” เหว่ยเฟิงพูดเสียงสั่น “ฉันไม่เคยคิดจะเอาอะไรจากใคร”
“จำไว้” หวังซู่หลินพูดเสียงเย็น “ถึงเธอจะได้แต่งงานกับป๋อหลิน ก็อย่าหวังว่าฉันจะยอมรับเธอ เธอจะไม่มีวันได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉินแน่นอน”
หวังซู่หลินลุกขึ้นยืน “ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอแค่นี้แหละ เธอไปได้แล้ว”