การกลับมา
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องแผดเผาผิวกายของคนที่กำลังทำงานกลางแจ้ง ทว่ากลับไม่ใช่เหว่ยเฟิงกลับที่กำลังรู้สึกเหมือนว่าความร้อนนั้นกำลังแผดเผาไปถึงหัวใจ หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดที่ยังคงกรีดลึกในอก
เหว่ยเฟิงเดินออกมาจากประตูทางออกของท่าอากาศยานนานาชาติต้าหลี่ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลากไปตามพื้นคอนกรีตอย่างเชื่องช้า ราวกับแบกน้ำหนักของความผิดหวังเอาไว้
อาคารสูงระฟ้าผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด รถยนต์คันหรูแล่นไปมาขวักไขว่ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเร่งรีบและวุ่นวาย ต่างจากภาพความทรงจำในวัยเด็กที่ยังคงติดตรึงอยู่ในใจเธอ
“กลับมาแล้วนะ ต้าหลี่” เหว่ยเฟิงพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง เธอเปิดเปลือกตาขึ้น และมองตรงไปยังเบื้องหน้า
ภาพความทรงจำเก่า ๆ ค่อย ๆ ชัดขึ้นในใจของเหว่ยเฟิง...เหว่ยเฟิงเธอเห็นตัวเองในวัยสิบเจ็ดปี กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจใต้แสงไฟสลัว ๆ ในห้องเล็ก ๆ ที่แสนอบอุ่น ภายในไร่องุ่นที่พ่อของเธอนั้นทำงานอยู่
แม้ความเหนื่อยล้าจะเกาะกิน แต่แววตาของเหว่ยเฟิงยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอรู้ดีว่าการศึกษาคือหนทางเดียวที่จะพาเธอและครอบครัวออกจากความยากจนได้
และแล้ววันหนึ่งความฝันของเหว่ยเฟิงก็เป็นจริง เธอได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่อเมริกา ดินแดนแห่งโอกาสที่เธอเฝ้ารอคอย เธอเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบเก่าเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังโลกใบใหม่ โลกที่เธอไม่คุ้นเคย
เหว่ยเฟิงเริ่มต้นชีวิตใหม่ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง เธอทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัย ใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนและวันหยุดเพื่อหาเงิน ทุกหยาดเหงื่อ ทุกความเหนื่อยล้าที่เธอทุ่มเทลงไป ล้วนเพื่อครอบครัวที่เธอรัก เธออยากให้พ่อของเธอ เหว่ยเซิน ได้พักผ่อนบ้าง ไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป เธออยากให้ท่านได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แต่เหว่ยเฟิงก็ไม่เคยยอมแพ้ เธอเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง เธอจะสามารถสร้างอนาคตที่สดใสให้กับครอบครัวได้อย่างแน่นอน
ท่ามกลางความวุ่นวายและสีสันของชีวิตในมหาวิทยาลัย เหว่ยเฟิงได้พบกับหลิวกู้หย่งชายหนุ่มผู้หนึ่งในวันที่แสนจะธรรมดา รอยยิ้มอบอุ่นและแววตาจริงใจของเขาสะกดเธอไว้ตั้งแต่แรกพบ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน
“ขอโทษนะครับ พอดีผมหาห้องสมุดไม่เจอ ไม่ทราบว่าไปทางไหนเหรอครับ” เสียงทุ้มนุ่มลึกดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนในมหาวิทยาลัย
เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ พบกับรอยยิ้มอบอุ่นของชายหนุ่มตรงหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกำลังจะไปพอดี เดี๋ยวฉันพาไปนะคะ” เหว่ยเฟิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน
หลิวกู้หย่งยิ้มรับ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ ทำให้เหว่ยเฟิงรู้สึกว่าหัวใจเธอเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ขอบคุณมากครับ” เขาตอบรับคำอย่างเกรงใจ ก่อนจะเดินตามเธอไป
ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในใจ เธอรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ผลิบานขึ้นในอก
“นี่ค่ะ ห้องสมุด” เหว่ยเฟิงผายมือไปยังอาคารใหญ่โต พร้อมกับรอยยิ้มน่ารักที่ชวนมอง
ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันคือความสุข เหว่ยเฟิงและหลิวกู้หย่งเดินเคียงข้างกัน ผ่านสนามหญ้าเขียวขจีใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ นั่งอ่านหนังสือด้วยกันในห้องสมุดที่เงียบสงบ หรือแม้แต่เพียงแค่นั่งคุยกันในร้านกาแฟเล็ก ๆ ในมุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย ทุกอย่างช่างดูสวยงามและลงตัว
หลิวกู้หย่งเป็นมากกว่าคนรัก เขาคือเพื่อนคู่คิดที่คอยรับฟังทุกเรื่องราวของเหว่ยเฟิง เป็นกำลังใจให้เธอได้พักพิงในวันที่เหนื่อยล้า เขาเข้าใจความฝันและความมุ่งมั่นของเธอด จึงคอยให้กำลังใจและสนับสนุนเธออยู่เสมอ
เหว่ยเฟิงรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้พบกับหลิวกู้หย่ง เขาทำให้เธอรู้จักกับความรักที่แท้จริง ความรักที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และมีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอเชื่อว่าเขาคือคนที่ใช่ คือคนที่เธอจะฝากชีวิตไว้ด้วย
ในขณะที่หน้าที่การงานของเหว่ยเฟิงในฐานะผู้ช่วยนักวิจัยกำลังรุ่งโรจน์ แต่แล้ววันหนึ่ง โลกทั้งใบของเหว่ยเฟิงก็พังทลายลง
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เหว่ยเฟิงแทบหยุดหายใจ หลิวกู้หย่ง...คนที่เธอรัก กำลังกอดจูบกับหยางซิง รูมเมตเก่าของเธอ บนเตียงนอนของเขา
“ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้...” เหว่ยเฟิงพึมพำกับตัวเอง ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เธอรักและไว้ใจที่สุด จะทำร้ายเธอได้ถึงเพียงนี้
เหว่ยเฟิงพยายามลุกขึ้นยืน ก้าวเท้ากลับห้องพักอย่างเชื่องช้า รู้สึกเหมือนร่างกายไร้ความรู้สึก ภาพของหลิวกู้หย่งและหยางซิงยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เธอพยายามกลั้นน้ำตา แต่ก็ไม่เป็นผล เสียงสะอื้นดังขึ้นในห้องที่เงียบงัน
“ทำไม... ทำไมต้องเป็นฉัน...”
วันรุ่งขึ้น เหว่ยเฟิงตัดสินใจเผชิญหน้ากับหลิวกู้หย่งและหยางซิง เธอจ้องมองพวกเขาทั้งสองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ฉันไม่คิดเลยว่าพวกเธอจะทำกับฉันแบบนี้ หยางซิง กู้หย่ง” น้ำเสียงของเหว่ยเฟิงสั่นเครือ ขณะที่เธอมองเพื่อนรักที่กลายเป็นศัตรู “เธอรู้ไหมว่าฉันไว้ใจพวกเธอมากแค่ไหน”
หยางซิงก้มหน้าลง “ฉันขอโทษ เหว่ยเฟิง ฉัน...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เหว่ยเฟิงตัดบท “ฉันไม่อยากได้ยินคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น” เธอหันไปหาหลิวกู้หย่ง “และนายก็เหมือนกัน กู้หย่ง ฉันไม่คิดเลยว่านายจะทำกับฉันแบบนี้”
หลิวกู้หย่งพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหว่ยเฟิงยกมือห้าม “พอแล้ว ฉันไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว ขอให้เธอทั้งสองโชคดีกับสิ่งที่พวกเธอเลือกก็แล้วกัน”
เหว่ยเฟิงหันหลังเดินจากไป น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอไม่คิดเลยว่าคนที่เธอรักและไว้ใจมากที่สุด จะหักหลังเธอได้อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้
เมื่อกลับถึงห้อง เหว่ยเฟิงเริ่มเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเดินทาง เธอไม่อยากอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวดนี้อีกต่อไป เธอจะกลับบ้าน กลับไปหาพ่อและน้องชายของเธอ
การกลับบ้านครั้งนี้ เหว่ยเฟิงไม่ได้กลับไปเพียงตัวเปล่า แต่เธอยังนำพาประสบการณ์และความรู้มากมายที่สั่งสมมาจากอเมริกากลับไปด้วย เธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ความรู้ที่ได้ไปรำเรียนมา สร้างชีวิตที่ดีขึ้นให้กับตัวเองและครอบครัว
รถแท็กซี่สีเหลืองสดแล่นฉวัดเฉวียนออกจากสนามบิน ทิ้งความวุ่นวายของเมืองใหญ่ไว้เบื้องหลัง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ไร่องุ่นหยางกวงอันเงียบสงบ เหว่ยเฟิงมองออกไปนอกหน้าต่าง รถค่อย ๆ แล่นผ่านทิวทัศน์ที่คุ้นเคย ต้นไม้ใบหญ้าข้างทางพลิ้วไหวตามแรงลม เหมือนกำลังโบกมือต้อนรับเธอกลับบ้าน
เมื่อรถแท็กซี่เลี้ยวเข้าสู่ไร่องุ่นหยางกวง ภาพแรกที่เหว่ยเฟิงเห็นคือร่างสูงของพ่อและน้องชายที่ยืนรออยู่หน้าประตู เหว่ยเซินโบกมือให้เธอด้วยรอยยิ้มกว้าง ส่วนเหว่ยหยวนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เธอรีบจ่ายเงินค่ารถ ก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดคนทั้งสอง น้ำตาแห่งความสุขเอ่อล้นออกมา
“พ่อคะ อาหยวน หนูกลับมาแล้ว” เหว่ยเฟิงพูดเสียงสั่นเครือ
“ลูกพ่อ กลับมาแล้วก็ดีแล้ว” เหว่ยเซินลูบหัวลูกสาวเบา ๆ “พ่อคิดถึงลูกเหลือเกิน”
“พี่เฟิง!” เหว่ยหยวนโผเข้ากอดพี่สาวแน่น “อาหยวนคิดถึงพี่สาวที่สุดเลย”
เหว่ยเฟิงยิ้มทั้งน้ำตา เธอรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก การกลับมาบ้านครั้งนี้ ทำให้เธอรู้ว่า ไม่ว่าเธอจะเจอเรื่องร้าย ๆ อะไรมา ที่นี่คือที่ที่เธอจะได้รับความรักและการยอมรับเสมอ
หลังจากพูดคุยทักทายกันพอหอมปากหอมคอ เหว่ยเซินและเหว่ยหยวนก็พาเหว่ยเฟิงเข้าไปในบ้าน เธอเดินตามพวกเขาไปยังห้องนอนเดิมที่เคยนอน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับว่าเธอไม่เคยจากไปไหน
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะลูก” เหว่ยเซินพูดเสียงอบอุ่น
เหว่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองเหว่ยเซิน “ขอบคุณค่ะพ่อ”
บ้าน... ในที่สุดเธอก็ได้กลับมาบ้านแล้ว