ตอนที่ 4 เกินมาหนึ่ง[2]
ราชโองการที่ฉู่หยางกวานที่ปรึกษาส่วนพระองค์เป็นผู้ประกาศด้วยตัวเองสร้างความตื่นตะลึงไปทั้งลานกว้าง ไม่ว่าจะเป็นขุนนางแคว้นจ้าว และคณะทูตจากทั้งห้าแคว้น
สมรสพระราชทานระหว่างแม่ทัพใหญ่สุ่ยเสวี่ยอันของแคว้นจ้าวกับหญิงงามต่างแคว้น ถือเป็นเรื่องที่ตลอดแปดสิบปีพึ่งจะมีปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรก เพราะหากจะว่าไป ยังไม่มีสตรีต่างแคว้นคนใดได้แต่งเป็นภรรยาเอกเช่นนี้ และที่สำคัญหญิงสาวนางนั้นกลับเป็นคนอัปลักษณ์
ฟางเซียนถูกส่งตัวไปยังจวนแม่ทัพทันทีที่ราชโองการถูกประกาศออกมา ส่วนองค์หญิงหนิงลี่ ได้ตำแหน่งหนึ่งในสี่พระชายา และยังได้รับพระราชทานนาม เชว่ซูเฟย ซึ่งสมกับความงดงามของนาง
หญิงงามในแถวหน้า หลังจากที่จิ่นจงฮ่องเต้ได้ทรงคัดเลือกให้อยู่ในวัง ที่เหลือจะถูกประทานให้ฉู่หยางกวาน เพื่อไปมอบให้เหล่าขุนนาง
คราแรกเหวินจินเหมยรู้สึกอิจฉาฟางเซียนและองค์หญิงหนิงลี่ไม่น้อย แต่เมื่อรู้ว่าตนเองได้เข้าไปอยู่ในจวนกุนซือ หน้าหยก ถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
สิบวันต่อมา ที่จวนแม่ทัพใหญ่ หญิงอัปลักษณ์ที่ถูกส่งมาเพื่อแต่งงานกับแม่ทัพสุ่ย เวลานี้กลับกลายเป็นคนละคน
ด้วยความที่จวนแม่ทัพอันใหญ่โต มีข้ารับใช้อยู่เพียงหกคนและยังไม่มีเจ้านายคอยดูแล วันแรกที่ฟางเซียนมาถึง ที่นี่จึงดูราวกับเป็นจวนร้าง
ฟางเซียนไม่จำเป็นต้องทำตัวเองให้เป็นหญิงอัปลักษณ์อีกต่อไป เพราะหลังจากที่ฮ่องเต้จิ่นจงขึ้นครองราชย์ แม่ทัพใหญ่ก็หนีความวุ่นวายในเมืองหลวงไปอยู่ในค่ายทหารเมืองฮุ่ยโจ และไม่ได้กลับมาเลยตั้งแต่บัดนั้น แต่ถึงจะกลับมา ก็ไม่คิดจะเหยียบเข้ามาในจวนของตัวเอง
จากที่เกือบจะกลายเป็นจวนร้าง เพียงแค่สิบวัน จวนแม่ทัพสุ่ยก็กลายเป็นจวนที่ใหญ่โตหรูหราและดูเงียบสงบ บรรยากาศในจวนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
บ่าวไพร่ต่างพากันชื่นชมทั้งยังให้ความเคารพต่อฟางเซียนถึงขั้นเรียกนางว่าฮูหยินทุกคำ ด้วยความงดงามและความพิเศษของฟางเซียนดึงดูดผู้คนให้อยากเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว
หากจิ่นจงฮ่องเต้ที่คิดกลั่นแกล้งสหายรักด้วยการประทานหญิงอัปลักษณ์ให้ ได้มาเห็นเหวินฟางเซียนในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะทรงมีพระพักตร์เช่นไร
"ฮูหยินเจ้าคะ มู่ลี่ที่ท่านสอน บ่าวทำเสร็จแล้วนะเจ้าคะ" สาวใช้วัยราวยี่สิบ เอ่ยถามนายหญิงคนใหม่ด้วยท่าทางเคารพนบนอบในแววตาแฝงไว้ด้วยความชื่นชม
ตั้งแต่ว่าที่ฮูหยินเข้ามาอยู่ที่นี่ จวนที่เคยเงียบเหงาก็แลดูมีชีวิตชีวา เรื่องความงดงามยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะมิอาจหาคำมาบรรยาย ไหนจะความรู้ความสามารถที่ถ่ายทอดให้บ่าวรับใช้ ทั้งการจัดแต่งสวน การตกแต่งเรือนใหม่ แม้จะมีข้ารับใช้เพียงหกคนแต่แค่ช่วงเวลาสิบวัน ภายในจวนแม่ทัพก็เกือบจะกลายเป็นสวรรค์บนดิน แล้วจะไม่ให้บ่าวไพร่เคารพนับถือได้อย่างไร
"พี่โหยวรบกวนท่านช่วยบอกพ่อบ้านให้เอาไปติดไว้แทนฉากกั้นในห้องอาบน้ำของท่านแม่ทัพที เดี๋ยวอีกสักพักข้าจะตามไปดู"
"ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ" สาวใช้รับคำด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะรีบสาวเท้าออกไปทำตามคำสั่ง
อีกด้านหนึ่ง บุรุษหน้าตาหล่อเหลา ร่างกายสูงใหญ่กำยำล่ำสัน ควบอาชาสีดำทมิฬผ่านประตูเมืองทางทิศเหนือเข้ามาด้วยความเร็วสูง
พุ่งทะยานผ่ากลางใจเมืองมาจนถึงประตูวัง ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางแม้กระทั่งทหารองครักษ์ ต้องยอมปล่อยให้ม้าสีดำลอดผ่านประตูเทียนซาเข้าไปอย่างง่ายดาย
ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพสุ่ยกระโดดลงจากหลังม้าหน้าท้องพระโรงทั้งที่ม้ายังไม่ได้หยุดนิ่งด้วยซ้ำ ปลดดาบข้างเอวโยนให้องครักษ์หน้าประตู ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปด้านในด้วยความรวดเร็ว
สุ่ยเสวี่ยอันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองบัลลังก์ว่างเปล่าด้วยความโมโห แววตาฉายรังสีอำมหิตเหลือบมองขุนนางที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ในท้องพระโรง "ฝ่าบาททรงประทับอยู่ที่ใด!"
เงียบสนิทกระทั่งเสียงลมหายใจยังแทบจะไม่ได้ยิน
ขุนนางตั้งแต่แถวหน้าไปจนถึงปลายแถวต่างพากันยืนเหงื่อตก ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าฮ่องเต้กับที่ปรึกษาคนสนิทจะชิ่งหนีไปได้ไวถึงเพียงนี้ ปล่อยให้พวกเขาต้องมารับหน้าความโกรธเกรี้ยวของแม่ทัพใหญ่
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางได้คำตอบจากขุนนางจอมขี้ขลาด เสวี่ยอันก็เร่งสาวเท้าออกจากท้องพระโรง ตรงไปยังห้องทรงพระอักษร แต่ก็ไร้เงาผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นรวมทั้งกุนซือคนสนิทก็ด้วย
เมื่อความโกรธไม่ได้ระบายออก ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพ สุ่ยจึงเต็มไปด้วยไอสังหาร ในเมื่อมิอาจหาฮ่องเต้พบ ก็เหลือเพียงสตรีต่างแคว้นที่ต้องรับเคราะห์
ส่วนตัวต้นเหตุ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้ไปไหนไกล หลังจากท่านแม่ทัพกลับไป ฮ่องเต้ก็ทรงเสด็จออกมาจากห้องชงชาของนางกำนัล กลับขึ้นมานั่งบนบัลลังก์ด้วยพระพักตร์นิ่งเฉย เพื่อรับสั่งเลิกประชุมเช้า
"ฝ่าบาททรงเล่นแรงไปหรือไม่ ป่านนี้เด็กสาวแคว้นเชว่ผู้นั้นคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว"
พอกลับเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษร ฉู่หยางกวานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากตำหนิ แต่มีหรือฮ่องเต้จ้าวจิ่นจงจะฟังเข้าหู ในแววตามีแต่ความชั่วร้ายระคนสนุกสนาน หาได้ให้ความสนพระทัยความเป็นความตายของสตรีบรรณาการไม่
"หึหึ แคว้นเชว่กล้าหยามหน้าเราด้วยการส่งสตรีอัปลักษณ์มา ฮ่องเต้อย่างเราไม่สั่งตัดหัวนางต่อหน้าผู้คนก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว หรือเจ้าว่าไม่จริง? เราก็แค่ใช้ประโยชน์จากของบรรณาการชิ้นนี้เพียงเล็กน้อย ส่วนเรื่องความตายของนาง มันก็สมควรแล้วมิใช่หรือ"