2
“พี่พีทจ่ายเงินค่าสระผมให้หยกด้วยนะ หยกจะไปรอนอกร้าน พี่จ่ายเงินเสร็จเราจะได้ไปหาอะไรกินกัน หยกหิวจะแย่อยู่แล้ว” แม่เจ้าประคุณพูดจบก็ลุกเดินออกไปจากร้าน พันลภจะทำอะไรได้ นอกจากเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ของร้าน “ไปพี่พีท ไปกินปิ้งย่างกัน หยกอยากกิน”
ประภาวรรณบอกร่างสูงใหญ่ที่เดินออกมาจากร้าน
“เพิ่งสระผมมา ผมหอมฟุ้งขนาดนี้ ไปกินปิ้งย่างไม่กลัวผมเหม็นหรือไง ผมเหม็นก็ต้องมาสระผมอีก” เขาพูดอีกก็ถูกอีก
“พี่พีทนี่ไม่รู้อะไรยังพูดมากอีก กินปิ้งย่างในห้าง ที่ร้านมีเครื่องดูดควัน ดูปากหยกชัดๆ นะคะ” เธอชี้ไปยังริมฝีปากตัวเอง “ที่ร้านมีเครื่องดูดควันค่ะ นั่นหมายความว่า หัวไม่เหม็น แต่ถ้าห่วงว่าตัวเองจะเสียเวลากับหยกมากเกินไป หยกมีผู้ช่วยค่ะ”
พันลภเริ่มรู้สึกตัวว่า ตนเองงกำลังแพ้ประภาวรรณ กับไอ้คำว่า ผู้ช่วยนี่แหละ
“ผู้ช่วย คืออะไร”
“นี่ไงพี่พีท” เธอหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพาย “มันคือหมวกคลุมอาบน้ำแบบใช้แล้วทิ้ง หยกกับเพื่อนๆ เป็นสาวกปิ้งย่างและหมูกระทะ เลยต้องพกติดตัวไว้ตลอด กินเมื่อไหร่ไม่ต้องห่วงเรื่องผมเหม็น”
นั่นไงว่าแล้ว...แต่เขาไม่ยอมจนแต้มง่ายๆ งานนี้พันลภต้องชนะ
“ไปกินที่บ้านก็ได้ พี่จะโทรบอกให้ดวงทำกับข้าวไว้รอ”
“ไม่เอา จะกินปิ้งย่าง” ประภาวรรณติดเอาแต่ใจตัวเอง
“ไปกินที่บ้านแหละดีแล้ว อยากกินปิ้งย่างใช่ไหม เดี๋ยวพี่โทรสั่งร้าน ให้ไปส่งที่บ้านก็ได้ สะดวกกว่าไปกินที่ร้านอีก”
“ทำไม ไปกินกับน้องมันเป็นอะไร จะตายหรือไง แค่กินปิ้งย่างไม่ถึงชั่วโมงเอง จะเสียเวลาอะไรหนักหนา นัดใครไว้ล่ะ” เธอหน้างอใส่ มองเขาด้วยสายตาน้อยใจ ซึ่งพันลภแพ้สายตาแบบนี้ของประภาวรรณ
“เออๆ ไปก็ได้ พอใจหรือยัง” ใจแข็งกับประภาวรรณได้ไม่นานจริงๆ
“พอใจแล้วค่ะ ไปค่ะ หยกหิว” เธอยิ้มร่า ควงแขนพันลภที่ถอนหายใจเบาๆ ขัดใจก็งอน ตามใจมากก็เคยตัว ไม่ตามใจเลยก็หาว่าไม่รักน้อง พันลภนึกสงสัยแล้วว่า ประภาวรรณอยู่กับยุรนันท์เป็นเช่นไร เอาแต่ใจสุดเหวี่ยงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ กลับบ้านไปเขาคงต้องพึ่งยาพาราสักสองเม็ด
20.00 น.
“เป็นอะไรวะไอ้พีท หน้าตาไม่สะเบยเลย”
ปรินทร์ที่กำลังนั่งดื่มกับยุรนันท์ตรงระเบียงบ้านทักเจ้าของสถานที่ที่เดินมาสมทบ
“ปวดกบาลกับหยกสิ เล่นงานกูตั้งแต่เที่ยงยันค่ำ แดกยาพาราไปสองเม็ดแล้ว แม่งยังไม่หายเลย” พันลภตอบ ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างยุรนันท์ที่ยิ้มเต็มใบหน้า “ยิ้มทำไมไอ้เฮิร์ป น้องสาวมึงแท้ๆ ทำไมไม่ไปรับที่สนามบินเองวะ ให้กูไป กูปวดหัวเลย”
“น้องสาวกูน่ารักจะตายไป นิสัยก็ดี การศึกษาก็เด่น ความสวยไม่เป็นรองใคร แค่เอาแต่ใจไปนิด ขี้งอนไปหน่อย เถียงคำไม่ตกฟากแค่นั้นเอง นอกนั้นนิสัยยกนิ้วให้เลย อ้อ...แต่อย่าให้หัดทำกับข้าวนะ หมาไม่แดก แต่กูต้องแดก ไม่งั้นงอนใส่กูอีก” ยุรนันท์อวยน้องสาวสุดฤทธิ์
“ดีจนกูปวดหัว คราวหน้าไม่เอาแล้วนะ กูจะไม่ไปไหนกับหยกแล้ว”
“มึงต้านแรงตื้อหยกได้เหรอ มึงพูดอย่างนี้หลายครั้งแล้วนะ สุดท้ายกูเห็นมึงไปไหนกับหยกทุกที” ปรินทร์พูดต่อทันที
“ก็ใช่ไง ไม่ไปก็งอนใส่กู ทำหน้าทำตาน่าสงสาร กูรู้สึกผิดไปอีกก็เลยต้องไป แต่คอยดูนะ ครั้งหน้ากูจะไม่ยอมหยก กูจะใจแข็ง ไม่งั้นกูต้องแดกยาพาราแทนข้าวแน่ๆ” แก้วเหล้าที่ยุรนันท์ชงให้ถูกมือใหญ่ของพันลภคว้าไว้ ก่อนซดทีเดียวหมดแก้ว “แม่งเอ๊ย แดกเหล้าแก้กลุ้มดีกว่า”
ปรินทร์กับยุรนันท์มองหน้ากันแล้วยิ้ม ยื่นแก้วในมือไปชนกัน ก่อนดื่มแบบจิบๆ สายตาเบนไปยังพันลภที่ชงและดื่มเหล้าทีเดียวหมดแก้ว
ตอนสาย
มื้อเช้าขณะมาอยู่ไร่พันลภ ปรินทร์รับหน้าที่พ่อครัวจำเป็น เขาตื่นแต่เช้าทำข้าวต้มกระดูกหมูทรงเครื่องหม้อใหญ่ โดยมียุรนันท์กับพันลภเป็นลูกมือ จากนั้นก็ช่วยกันลำเลียงอาหารไปจัดวางไว้บนโต๊ะ รอให้ครอบครัวทั้งสามลงมากินอาหารเช้าร่วมกัน
แต่ละบ้านต้องปรับเปลี่ยนโต๊ะอาหารเพื่อรองรับสมาชิกทั้งสามครอบครัวหากมากินข้าวกันพร้อมหน้า จากเดิมเป็นอาหารที่นั่งได้ราวแปดคน เวลานี้เปลี่ยนเป็นยี่สิบคน รองรับสมาชิกเพิ่มในอนาคตไปในที
“หน้าตาน่ากินเหมือนเดิมเลยพี่โดม” ประภาวรรณพูดขึ้น เมื่อมองชามข้าวต้มกระดูกหมู “คนทำก็หล่อ อาหารก็น่ากิน รสชาติก็เยี่ยม”
“จะอร่อยแค่ไหนกันเชียว งั้นๆ แหละ” พันลภพูดอย่างหมั่นไส้...หมั่นไส้คนพูด ไม่ใช่พ่อครัว
“เชอะ...อย่าให้เห็นนะว่าเบิ้ลอีกชาม” สาวปากดีโต้กลับ
“ที่เบิ้ลเพราะหิวต่างหากล่ะ หิวๆๆ หิว หิวก็ต้องกินหลายชามสิ” พันลภยอมที่ไหน
“เอาล่ะไม่ต้องเถียงกัน ไม่เบื่อบ้างหรือไง เจอหน้ากันทีไรทำตัวเหมือนเด็กๆ ไปได้” ประไพปรามสองหนุ่มสาว “หยก แม่ซื้อม้าไว้ให้ตัวนึงนะ สวยมากเลย กินข้าวเสร็จไปดูที่คอกม้านะลูก”
“จริงหรือคะคุณแม่” ประภาวรรณตาโต
“จริงสิจ้ะ แม่ซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่ไงลูก”
ประไพรู้มาจากรื่นฤดีว่า ประภาวรรณอยากได้ม้า จะได้ฝึกขี่ม้า เวลามาไร่พันลภจะได้ควบม้าไปทั่วไร่ รื่นฤดีจึงวานให้ประไพหาม้าดีๆ ให้สักตัว ประไพจึงซื้อให้ประภาวรรณเอง