บทที่ 2 ฟื้น
บทที่ 2 ฟื้น
ตำหนักบูรพา
หลายวันก่อนหน้าที่ตระกูลโจวจะกลับเมืองหลวงหนึ่งเดือน
"แคก ๆ องค์ชาย องค์ชายใหญ่ทรงฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ เร็วเข้ารีบตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!!!!"
เสียงร้องเรียกของหวังซุน องครักษ์ผู้ทำหน้าที่คอยรับใช้หยางจิ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยความดีใจ เมื่อพบว่ายามนี้เจ้านายของตนได้สติกลับมาแล้ว
ไม่นานนักหมอหลวงก็มาถึง เมื่อตรวจดูอาการหยางจิ่งต่ออีกสักครู่ ก็มีสีหน้าที่คลายความกังวลลงไปไม่น้อย
"ยามนี้ไอเย็นถูกขับออกหมดแล้ว องค์ชายใหญ่ทรงปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ค่อย ๆ หันไปมองหมอหลวงคราหนึ่ง ก่อนแววตาของเขาจะหยุดลงที่หวังซุน องครักษ์ที่ภักดีกับเขาเป็นที่สุด
ภาพในกาลก่อนฉายชัดขึ้นมาในห้วงความคิดของเขา
"องค์รัชทายาท ต่อให้พระองค์จะทรงสังหารกระหม่อม กระหม่อมก็ต้องเอ่ยเตือนพระองค์ คนผู้นั้นคิดไม่ซื่อ เขาหวังจะช่วงชิงตำแหน่งของพระองค์"
"หุบปาก!!! ข้าไม่เชื่อเจ้า เจ้ากำลังดูหมิ่นราชวงศ์ของข้าหวังซุน ทหารลากมันไปโบยจนตาย!!!"
"องค์รัชทายาทโปรดเชื่อกระหม่อมด้วยเถิด องค์รัชทายาท!!!!"
หยางจิ่งหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ฉับพลันเขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครา ก่อนจะมองไปโดยรอบอีกครั้ง
ช้าก่อน!!! นี่มันเรื่องใดกัน?
หวังซุนตายไปแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดยามนี่จึงยังยืนอยู่ข้างกายเขาได้เล่า
เขาเองก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกันนี่นา?
หรือว่าที่นี่คือโลกหลังความตาย?
หยางจิ่งพลันลนลานสับสน ความรู้สึกปวดหนึบทั่วทั้งศรีษะทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น หวังซุนที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงรีบรุดเข้ามาหาเจ้านายของตนทันที
"องค์ชาย เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ละเลยต่อหน้าที่"
"หวังซุน นี่มันเรื่องใดกัน?"
หวังซุนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางครุ่นคิดว่าคงเพราะอาการไข้เพิ่งจะหายดีองค์ชายจึงมีพระอาการหลง ๆ ลืม ๆ เช่นนี้
"ทูลองค์ชายใหญ่ หลายวันก่อนองค์หญิงรองหยางจินจินวิ่งตามผีเสื้อเข้าไปในสวนดอกเหมย แต่ทว่าเพราะฝนตกพื้นลื่น องค์หญิงจึงตกลงไปในสระบัวท้ายวังหลวง องค์ชายใหญ่ทรงเห็นเข้าพอดี จึงรีบ... เอ่อ รีบเข้าไปหาองค์หญิงรอง ก่อนจะยกเท้าเหยียบมือนางที่กำลังขอความช่วยเหลือ แต่เพราะพระองค์ทรงดื่มสุราไปไม่น้อย เกิดทรงตัวไม่อยู่ลื่นตกสระน้ำไปอีกคน และเพราะอากาศหนาวเกินไป พระองค์ที่ถูกเหล่าทหารช่วยขึ้นมาจากน้ำเกิดล้มป่วยหนักจนไม่ได้สติร่วมหลายวันพ่ะย่ะค่ะ"
หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับมีไม้หนัก ๆ มาทุบตีที่ศรีษะของเขา เขายกมือตนเองขึ้นมาดู ก่อนจะลุกขึ้นนั่งและใช้กำปั้นชกเข้าไปที่หน้ากระจกบนหัวเตียง โลหิตจากหลังมือไหลเป็นทางยาว สร้างความตกใจให้แก่หวังซุนเป็นอย่างยิ่ง
ให้ตายเถิด!!! องค์ชายใหญ่ทรงคลุ้มคลั่งอีกแล้ว
"องค์ชาย!!!"
แต่ทว่าหยางจิ่งกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ดวงตาของเขาแดงก่ำ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
หึ ๆ สวรรค์!!! นี่มัน
"หวังซุน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
"ปีนี้ปีที่เท่าใด"
"เอ๋?"
"เสด็จพ่อครองราชย์ปีที่เท่าใด"
"ปีที่ยี่สิบห้าพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย พระองค์ทรงจำไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?"
หยางจิ่งไม่ตอบ ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ซีดเผือดเพราะพิษไข้ เขายกมือขึ้นก่อนจะให้หวังซุนและคนอื่น ๆ ออกไปจนหมด หวังซุนแม้จะเป็นห่วงหยางจิ่งแต่ทว่าก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง ทำได้เพียงออกไปยืนอยู่นอกตำหนักตามที่หยางจิ่งสั่ง
เมื่อยามนี้เหลือตนเองเพียงลำพังแล้ว เขาก็เริ่มจับต้นชนปลายเรื่องราวต่าง ๆ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นขึ้น
รัชศกหลิงไท่ปีที่ยี่สิบห้า ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงองค์ชายใหญ่ที่ยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ชินอ๋องหยางหลิงฉี เสด็จอาของเขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากแคว้นเยี่ยน เนื่องจากเสด็จอานำทัพออกศึกบุกประชิดแคว้นเยี่ยน และสามารถนำชัยชนะกลับมาได้สำเร็จ ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนไม่อยากสูญเสียเมืองจึงยอมจำนน จึงส่งตัวเจียงหมิงเจ๋อ น้องชายต่างมารดามาเป็นตัวประกันที่แคว้นเป่ยฉินของเขา
และในเวลาเดียวกันนี้ที่ชายแดนแคว้นฉู่ แม่ทัพใหญ่โจวก็ได้รับชัยชนะเช่นเดียวกัน สามารถปราบเหล่ากบฎแคว้นฉู่ให้ยอมศิโรราบจนไม่กล้าเหิมเกริมอีก และทวงคืนศักดิ์ศรีให้แก่องค์หญิงใหญ่ที่ต้องไปตายยังแคว้นฉู่ได้สำเร็จ นับเป็นข่าวดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เสด็จพ่อทรงขึ้นครองราชย์มา
และเวลานี้ก็เป็นเวลาที่แม่ทัพโจวใกล้จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว
ในวันที่หิมะตกหนัก เขาได้พบกับนางอีกครา หลังจากที่นางจากไปชายแดนตอนอายุแปดขวบปี เขาและนางก็ไม่ได้พบเจอกันอีก
โจวหว่านหรู
เมื่อคิดถึงโจวหว่านหรู หยางจิ่งก็รู้สึกเจ็บที่ใจของตนไม่น้อย ดวงตาของเขาแดงก่ำเมื่อหวนนึกถึงวันที่นางยอมเผาตนเองไปพร้อมกับตำหนักบูรพาแห่งนี้ จิตใจของเขาก็บีบรัดอย่างทรมาน หยางจิ่งทิ้งกายลงบนเตียง ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับที่หัวใจของตน หยดน้ำตาไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า
"องค์ชายใหญ่ องค์หญิงรองขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงเรียกของหวังซุนทำให้หยางจิ่งรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตน ก่อนจะชะงักไปชั่วขณะ
หยางจินจินมาขอพบเขาหรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หยางจิ่งจึงเอ่ยตอบออกไปทันที
"ให้นางเข้ามาได้"
ไม่นานนักเขาก็เห็นหยางจินจินเดินเข้ามาในตำหนักด้วยท่าทีที่ประหม่า ใบหน้างามไม่สู้ดีเท่าใดนัก
"หยางจินจิน มาพบข้ามีเรื่องใดหรือ?"
หยางจินจินมีท่าทีประหม่าไม่น้อย นางกำมือแน่น ก่อนเอ่ย
"เอ่อ หม่อมฉันได้ยินพวกนางกำนัลพูดกันว่าองค์ชายใหญ่ทรงฟื้นแล้ว หม่อมฉันจึงมาขอรับโทษเพคะ องค์ชายใหญ่ เป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่ไม่ทันระวังเพคะ ทำให้พระองค์ทรงล้มป่วย หม่อมฉันยินดีรับโทษเพคะ"
หยางจินจินรีบคุกเข่าลงและโขกศรีษะลงกับพื้นทันที นางรู้ดีว่าเสด็จพี่ไม่ชอบนาง นางเป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากนางสนมขั้นต่ำศักดิ์ แต่ไหนแต่ไรนางก็อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวในวังหลวงแห่งนี้เสด็จพ่อมีหยางจิ่งเป็นพระโอรสองค์โต และหยางเฉิงเป็นพระโอรสองค์รองที่เกิดจากฉินกุ้ยเฟย ส่วนนางสนมคนอื่น ๆ กลับให้กำเนิดองค์หญิงหลายพระองค์ ทว่ากลับล้มป่วยตายจากไปตั้งแต่แบเบาะ เหลือเพียงนางและพี่หญิงใหญ่เท่านั้นที่เติบใหญ่มาได้
พี่หญิงใหญ่เป็นองค์หญิงที่เกิดจากซูเฟย พระสนมที่เสด็จพ่อทรงโปรดปราน เมื่อหนึ่งปีก่อนพี่หญิงใหญ่ต้องแต่งออกไปที่แคว้นฉู่เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี แต่สุดท้ายกลับมาได้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณ เนื่องจากตรอมใจที่สามีหลงอนุมากว่าตน อีกทั้งยังหลอกใช้พี่หญิงใหญ่เป็นเครื่องหวังจะทำลายแคว้นเป่ยฉิน ยามเสด็จพ่อทราบเรื่องทรงกริ้วมากจึงสั่งให้แม่ทัพใหญ่โจวนำทัพไปบุกตีแคว้นฉู่ทันที สงครามยืดเยื้อเรื่อยมาจนกระทั่งแคว้นฉู่ไม่อาจสู้ได้อีก จึงยอมศิโรราบเป็นเมืองขึ้นให้แก่แคว้นเป่ยฉิน
วังหลวงแห่งนี้จึงเหลือเพียงนาง หยางจิ่ง และหยางเฉิง แต่เพราะหยางจิ่งเป็นคนถือตัว ไม่ชอบคบค้ากับคนต่ำศักดิ์กว่า เขาจึงไม่นับนางเป็นน้องสาว แม้นางจะได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงแต่กลับมีชีวิตยากลำบากไม่น้อย สาวใช้บางคนไม่เคารพนาง อีกทั้งยังแอบนินทานาง เพียงเพราะนางไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อและเสด็จพี่ ส่วนหยางเฉิงก็ไม่ได้ใส่ใจนางมากนัก วัน ๆ เขาเอาแต่อ่านตำราหาความรู้เพียงเท่านั้น
นางจำได้ หยางจิ่งเหยียบมือนาง และบอกกับนางว่า
คนเช่นเจ้าอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ ไปตายเสียเถิด!!!
ทั้งที่เขาทำร้ายนาง แต่นางกลับต้องมาคุกเข่ารอรับโทษกับเขา เพียงเพราะเกรงว่าตนเองจะมีชีวิตอย่างยากลำบาก หากคิดแข็งข้อกับพี่ชายบ้าอำนาจผู้นี้
แม้นางจะเกลียดหยางจิ่ง แต่อย่างไรนี่ก็คือพี่ชายของนาง เมื่อได้ยินว่าเขาป่วยเพราะนาง นางก็ร้อนใจไม่น้อย พอรู้ว่าเข้าฟื้นนางก็รีบวิ่งมาหาโดยไม่สนใจว่าเขาจะดุด่านางหรือไม่
หยางจิ่งจ้องมองหยางจินจิน ภาพในชาติก่อนย้อนวนกลับมาอีกครา ราวกับต้องการจะตอกย้ำความเลวทรามที่เขาเคยกระทำกับน้องสาวผู้นี้
"องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่แต่งนะเพคะ หม่อมฉันไม่ไป"
"เจ้าก็เป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากสนมชั้นต่ำ แต่งออกไปที่แคว้นฉีเสียจะได้เป็นกำลังเสริมให้ข้าในภายภาคหน้า เสด็จพ่อเองก็เห็นดีด้วยแล้ว เจ้าจะมาแหกปากร้องขอสิ่งใดกัน น่ารำคาญเสียจริง"
"ไม่!! องค์รัชทายาท แคว้นฉีขึ้นชื่อเรื่องชอบทุบตีและทารุณภรรยา หากหม่อมฉันแต่งไปหม่อมฉันย่อมต้องถูกทรมานจนตายเป็นแน่ อีกอย่างหม่อมฉันมีคนที่รักอยู่แล้ว เขากำลังจะมาแต่งงานกับหม่อมฉัน"
"เจ้าจะเป็นหรือตายย่อมไม่เกี่ยวกับข้า เจ้ามีสิทธิ์เพียงแค่ทำตามคำสั่งของข้าและเสด็จพ่อ ลากนางออกไป ล่ามโซ่นางเอาไว้ อย่าให้คิดหนีไปได้ และห้ามให้นางพบผู้ใดเด็ดขาด"
"องค์รัชทายาท ฮือ ได้โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วย ฮือ องค์รัชทายาท!!!"
หลังจากหยางจินจินแต่งงานไปที่แคว้นฉี ข่าวคราวสุดท้ายที่เขาได้รับ ก็คือข่าวการตายของหยางจินจิน นางถูกองค์ชายแคว้นฉีผู้เป็นสามีใช้เชือกรัดคอจนตายในคืนเข้าหอ เพราะนางไม่ยินยอมหลับนอนกับเขา
หยางจิ่งรู้สึกจุกในอก คนชั่วช้าเช่นเขากลับทำร้ายแม้กระทั่งน้องสาวที่เหลือเพียงคนเดียวของตนได้ลงคอ เขากลับส่งนางไปตายอย่างเลือดเย็น
"จินเอ๋อร์"
"เอ๋?"
หยางจินจินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองหยางจิ่ง พลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางจ้องมองหยางจิ่งราวกับเห็นผี
เรียกเช่นนี้หรือว่ากำลังคิดจะทรมานนางจนตาย!!!
หยางจิ่งรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่เขาก็ไม่โทษหยางจินจิน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทำดีกับนางอยู่แล้ว
"ทำไม ข้าเรียกเจ้าว่าจินเอ๋อร์ไม่ได้หรือ?"
"ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ว่า เอ่อ องค์ชายใหญ่ คือว่า? พระองค์ถูกผีสิงหรือเพคะ"
หยางจิ่งพยายามข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้ด่าทอหยางจินจิน เขาส่งยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องคุกเข่าหรอก ข้าไม่ลงโทษเจ้า"
"จริงหรือเพคะ"
"จริงสิ"
หยางจินจินจ้องมองหยางจิ่งด้วยความหวาดระแวง พลางครุ่นคิดในใจ
ผีในสระบัวเข้าสิงเป็นแน่!!! ช่างน่ากลัวยิ่งนักยามปกติก็น่ากลัวอยู่แล้วนี่ยังมีผีมาสิงอีก!!!
หยางจิ่งพยายามมองข้ามสายตาหวาดระแวงของหยางจินจินไปเสีย ก่อนจะเอ่ยกับนาง
"ขอบใจเจ้ามากที่มาเยี่ยมข้า"
หยางจินจินตกใจอีกครา นางรู้สึกคล้ายกับว่าหยางจิ่งดูแปลกไป นางจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถามเขาออกไป
"เอ่อ องค์ชายไม่ด่าหม่อมฉันหรือเพคะ?"
"อยากด่าเหมือนกัน แต่เวทนาเจ้ามากกว่า"
หยางจิ่งยิ้มให้หยางจินจินเล็กน้อย หยางจินจินแม้จะมีความสงสัยมากมายอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใดอีก
หยางจิ่งจ้องมองร่างกายผอมบางของน้องสาวตนแล้วรู้สึกปวดใจไม่น้อย เขาจำได้ว่าหยางจินจินมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก นางไม่มีมารดาคอยค้ำจุน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการมองดูสีหน้าของผู้อื่น
"มานั่งนี่สิ"
"เอ่อ"
"ไม่ต้องกลัว มานั่งข้าง ๆ ข้า"
หยางจินจินพยักหน้า ก่อนจะเดินมาทิ้งกายลงนั่งข้าง ๆ หยางจิ่ง
"ต่อไปไม่ต้องมากพิธีกับข้า ไม่ต้องเอ่ยวาจาห่างเหินกับข้า เราคือพี่น้องกัน"
"ฮะ?"
หยางจินจินจ้องมองหยางจิ่งด้วยความสับสน แววตาที่เขามองนางดูอ่อนโยนไม่มีความรังเกียจเฉกเช่นแต่ก่อนเลย นางรวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยถามเขาออกไป
"ข้าเรียกพระองค์ว่า เสด็จพี่ได้จริง ๆ หรือเพคะ?"
"ได้สิ"
"เสด็จพี่"
"สงสัยหรือ?"
"เอ่อ หากท่านเป็นข้าก็ต้องสงสัยเหมือนกัน ทุกคราท่านคอยด่าข้า เอ่อ ข้าไม่พูดแล้ว"
หยางจิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขบขันหยางจินจินอยู่ไม่น้อย หยางจินจินเองก็ไม่รู้สึกเกร็งอีกแล้ว นางจึงเอ่ยสนทนากับเขาโดยใช้คำปกติทั่วไป
หยางจิ่งจ้องมองหยางจินจินก่อนจะเอ่ย
"ยามที่ข้าป่วย ข้าผ่านความตายมาทำให้ได้เข้าใจว่าชีวิตคนเรามันสั้น จินเอ๋อร์ ต่อไปนี้ข้าจะไม่ทำเรื่องให้เจ้าต้องลำบากอีก"
"จริงหรือเพคะ?"
"อืม"
"ท่านคือเสด็จพี่ของข้าจริงหรือ ไม่ใช่ผีมาสิงแน่นะ?"
"จินเอ๋อร์ ข้าเริ่มอยากด่าเจ้าขึ้นมาแล้วสิ"
หยางจินจินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากตนคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มตาหยี พลางล้วงหยิบของบางอย่างในแขนเสื้อส่งมาให้หยางจิ่ง
"เสด็จพี่ นี่คือยันต์คุ้มครอง ข้าได้มันมาจากไต้ซือมีชื่อผู้หนึ่งยามที่ตามฉินกุ้ยเฟยไปไหว้พระที่วัดไป๋หวา หากเสด็จพี่ไม่รังเกียจ ช่วยรับไว้ได้หรือไม่เพคะ"
หยางจิ่งจ้องมองยันต์เก่า ๆ ในมือของหยางจินจินคราหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับมันมาถือเอาไว้อย่างไม่รังเกียจ
"ได้ ข้าจะเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี"
"ข้าชอบเสด็จพี่ที่ใจดีเช่นนี้ที่สุดเลย"
หยางจิ่งยิ้มให้หยางจินจินเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปหยิบจานขนมส่งให้น้องสาวของตน
"ข้ามอบขนมกุ้ยฮวาจานนี้ให้เจ้า ต่อไปหากเจ้าหิว ก็มาที่ตำหนักของข้าได้เสมอ"
"ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพี่ อีกเดี๋ยวข้าต้องไปแล้ว"
"เจ้าไปเถิด"
"เพคะ เสด็จพี่รีบ ๆ หายนะเพคะ"
"อืม"
หยางจิ่งมองหยางจินจินเดินจากไปจนลับสายตา ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ชาติที่แล้วเพราะหลงเชื่อคนชั่ว ทำให้ข้าทำร้ายน้องสาวเช่นเจ้าได้อย่างไร้ความปรานี
จินเอ๋อร์ ชาตินี้พี่จะปกป้องเจ้าเอง พี่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าได้อีก
เขาทิ้งกายลงนอนพักอีกครา พลางครุ่นคิดว่าอีกไม่นานตระกูลโจวก็จะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาจะได้พบกับนางอีกครา
ครานี้เขาจะไม่ปล่อยให้นางจากเขาไปอีกเป็นอันขาด
โจวหว่านหรูเจ้ารอข้าก่อนนะ
ข้าจะต้องไปพบเจ้าอีกคราให้ได้
ข้าจะทำให้การพบกันของเราในชาตินี้น่าจดจำและเป็นความทรงจำที่ดีของเจ้าไปตลอดกาล