บทที่ 4 ขอโทษครับพี่ เมียผมกำลังงอน
นลินีได้กลิ่นน้ำหอมผสมกลิ่นเฉพาะของผู้ชายจากตัวของเขา มันไม่ต่างกับตอนที่อยู่ตรงชั้นจอดรถของตึกสำนักงาน แต่ความรู้สึกในตอนนั้นกับในเวลานี้มันต่างกับสุดขั้ว…
“คุณวินมาพอดี” ผู้ชายในรถพูดขึ้น สีหน้าสีตาคล้ายกำลังโล่งใจที่ไม่ต้องยุ่งเรื่องของใคร “คุณผู้หญิงขอให้ผมกับแฟนไปส่งที่ท่ารถครับ”
“อ้อ! ผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ พอดีเมียผมกำลังงอน เดี๋ยวผมจัดการเอง ไม่รบกวนพี่ทั้งสองคนแล้วครับ เอาไว้ตอนเย็นวันอาทิตย์ผมจะเอากุญแจไปคืนให้ที่บ้าน”
คนในรถพยักหน้าเออออ ก่อนที่กระจกหน้าต่างรถจะปิดลง จากนั้นรถกระบะก็แล่นลับหายไปในความมืด
นลินีตัวสั่น สัมผัสร้อนๆ จากมือของเขาที่กุมข้อมือของหล่อนไว้หลวมๆ ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตรึงจนไม่อาจขยับ
“เข้าบ้านเถอะ”
เสียงห้าวทุ้มดังแค่ในลำคอ แค่เขาแตะแผ่นหลังบาง หญิงสาวก็ก้าวตามอย่างว่าง่าย ทั้งที่ในใจร้องบอกให้แข็งขืน แต่ขาเจ้ากรรมก็ทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง
เมื่อเขาบอกให้นั่ง นลินีก็ทำตามเหมือนหุ่นยนต์ คำพูดของเขาเมื่อสักครู่ทำให้หล่อนกลัวจนแทบจะเป็นลม
‘อ้อ! ผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ พอดีเมียผมกำลังงอน เดี๋ยวผมจัดการเอง...’
คนแบบไหนกันที่สามารถโกหกคนอื่นได้หน้าตาเฉย คนแบบไหนกันที่บังคับคนอื่นให้ทำตามใจตัวเองได้ขนาดนี้
“วิสกี้หน่อยนะ”
นลินีสะดุ้งเมื่อร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาใกล้ แล้วส่งแก้วเหล้ามาให้ถึงมือ หล่อนส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วเบี่ยงตัวหนีไปทางอื่น...เห็นชัดแล้วว่าการพูดจาดีๆ และพยายามยกเหตุผลมาคุยกับคนคนนี้มันไม่ได้ผล ดังนั้นนับตั้งแต่นี้ไป นลินีก็จะไม่ฝืนตัวเองอีก
“คุณดูตกใจไปหน่อยนะ หน้าซีดเชียว วิสกี้ช่วยคุณได้ อย่างน้อยก็ใช้แทนยากล่อมประสาท”
ไม่รู้ว่าเขาพูดด้วยความหวังดีหรือแค่แดกดัน แต่นลินีก็เลือกใช้วิธีนิ่งเงียบ เพราะไม่รู้ทิศทางอารมณ์ของเขา
“คุณจะโทร.บอกคุณตาของคุณหน่อยไหมว่าคืนนี้คุณจะไม่กลับบ้าน เผื่อเขาจะเป็นห่วงคุณ คนแก่ขนาดนี้ถ้าไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืนมันจะไม่ไหวเอานะ”
คำพูดสองแง่สองง่ามถึงผู้ใหญ่ที่นลินีนับถือทำให้หล่อนไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ ทั้งที่ตั้งใจจะนิ่งเงียบอยู่แล้วเชียว โดยเฉพาะคำพูดนั้นออกจากปากหลานชายแท้ๆ ของเจ้าสัวธงชัย...หญิงสาวนึกสงสารชายชราจับใจ
“ไม่ว่าคุณจะขัดแย้งกับคุณตาแค่ไหน แต่สำหรับฉัน คุณตาเป็นผู้ใหญ่ที่มีเมตตา ฉันรู้ว่าคุณตั้งใจว่ากระทบฉันกับคุณตา แต่ฉันขอบอกไว้เลยว่ามันไม่เคยเป็นอย่างที่คุณคิด คุณตามีเกียรติมากกว่านั้นค่ะ”
“แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นเมียเจ้าสัว”
หน้านวลร้อนผ่าว เมื่อไม่กี่นาทีก่อน กวินทร์พูดจาโกหกคนคู่นั้นว่าหล่อนเป็นเมียของเขา แต่พอเวลานี้ เขากลับยัดเยียดให้หล่อนเป็นผู้หญิงของคุณตา...เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเลยจริงๆ
“ไม่ใช่ค่ะ”
นลินีตอบหนักแน่น เผื่อมันจะซึมเข้าไปในต่อมสำนึกผิดชอบชั่วดีของผู้ชายร้ายกาจคนนี้ได้ แต่ดูเหมือนว่าคำตอบของหล่อนกลับทำให้เขาชอบใจเสียอย่างนั้น
“ดี งั้นการที่คุณอยู่กับผมที่นี่ก็ทำไม่ทำให้เขาหัวใจวาย อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อของแม่ผม ผมยังไม่อยากทำบาป”
คุณทำ! ทำมาตลอด แต่คนหยาบกระด้างอย่างคุณคงไม่รู้ตัว...นลินีสวนทันควัน แต่ทุกถ้อยคำไม่ได้ผ่านออกมาเป็นคำพูดให้เขาได้ยิน
จู่ๆ โซฟาข้างตัวก็ยวบลง นลินีขยับออกห่าง หากเมื่อลำแขนแข็งแรงพาดไปบนพนักโซฟา มันจึงกลายเป็นการกักกันหล่อนไว้กลายๆ
“คุณกลัวผมหรือ”
“มันไม่เหมาะสมค่ะ ที่จริงฉันไม่ควรอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ฉันควรจะได้กลับบ้าน”
“คุณอายุเท่าไร”
คำถามธรรมดา แต่เมื่อมันมาจากคนที่ไม่รู้จักกันดี แถมยังอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ความอึดอัดใจก็โถมเข้ามา นลินีรู้สึกเหมือนถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว
“ทำท่าเหมือนเด็กไฮสกูลไปได้”
เขากำลังขำหล่อน หากนลินีสะกดใจให้นิ่งสงบได้อย่างไม่ต้องพยายาม หล่อนเรียนรู้ได้ในเวลาสั้นๆ ว่าอย่าต่อกรกับเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ปล่อยเขาไป เพราะคนคนนี้คงไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ
จังหวะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ของกวินทร์ดังขึ้น หล่อนได้ยินเขาสบถ พร้อมกับดึงโทรศัพท์มือถือออกมา เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงเมื่อเห็นว่าเป็นสายของใคร
“สวัสดีครับแจน”
“สวัสดีจ้ะ แจนจะชวนวินไปพัทยา พวกเรากำลังจะไปต่อที่นั่น โหน่งบอกให้แจนโทร.มาชวนวิน วินจะไปกับพวกเราไหม”
“ผมไม่สะดวกครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่เขาใหญ่”
“อ้าว! งั้นเหรอ วินไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง ตอนหัวค่ำโหน่งบอกว่าวินเพิ่งขับรถออกจากบริษัทอยู่เลย”
“ตอนนี้มันกี่ทุ่มแล้วล่ะแจน”
กวินทร์หัวเราะขันเพื่อนสาว น้ำเสียงเจือความอบอุ่นและเอ็นดูอย่างที่คนนั่งข้างๆ สัมผัสได้...มันต่างกับตอนที่เขาหัวเราะขำหล่อน ตอนนั้นนลินีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลก เพราะในเสียงหัวเราะของเขามีรอยหยันปนมาด้วย
คนปลายสายเองก็หัวเราะให้กับความเปิ่นของตัวเอง ก่อนเธอจะบอกลาเมื่อเห็นว่าหมดธุระพูดคุยแล้ว
แค่ตัดสายสนทนา กวินทร์ก็กลับมาเป็นคนเดิม…หากสิ่งที่ทำให้นลินีรู้เพิ่มเติมนั่นก็คือแม้เขาจากเมืองไทยไปหลายปี แต่เขากลับมีเพื่อนที่อยู่ทางนี้อีกหลายคน
แรกทีเดียวนลินีเคยสงสารเขา เมื่อคิดว่าเขาเป็นหลานชายแท้ๆ ของเจ้าสัว แต่พวกเขาทั้งคู่กลับไม่ลงรอยกัน หล่อนจึงเข้าใจว่ากวินทร์มาอยู่เมืองไทยแบบตัวคนเดียว หล่อนเห็นใจเขาที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว...หากวันนี้นลินีได้รู้แล้วว่าที่ผ่านมาหล่อนเข้าใจผิดไปเอง
นลินีจมอยู่กับความคิด เมื่อรู้ตัวก็หันไปมองเขา แล้วจึงเห็นว่าชายหนุ่มทอดมองหล่อนอยู่ก่อนแล้ว
“ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว คุณไม่โทร.ไปบอกใครหรือว่าคืนนี้ไม่กลับบ้าน” กวินทร์พูดคล้ายหวังดี แต่นลินีไม่เชื่อใจเขาแล้ว “ผมไม่คิดว่าคุณกลับบ้านดึกจนคนอื่นชินก็เลยไม่ถามหา เพราะตั้งแต่ตอนเย็น คุณร้องจะกลับบ้านท่าเดียว”
“คนที่บ้านคุณตานอนเร็ว พวกเขาคงไม่รู้ว่าฉันยังไม่กลับบ้าน”
“คุณหมายถึงแม่บ้านกับเด็กรับใช้ที่บ้านเจ้าสัว?” กวินทร์ประหลาดใจ หญิงสาวก็สงสัยเขาเหมือนกัน ก่อนที่หล่อนจะถึงบางอ้อ “ผมหมายถึงครอบครัวของคุณ พ่อแม่ของคุณหรือพี่สาว”
ตั้งใจจะไม่ใส่ใจคำพูดของเขา แต่บางอย่างกลับตีตื้นถึงลำคอ ถึงตอนนี้หล่อนได้แต่เงียบ...เงียบเพราะหล่อนเองก็ไม่อยากหาคำตอบเหมือนกัน และเป็นเขาอีกนั่นแหละที่เป็นฝ่ายถามต่อ
“พวกเขาสบายดีไหม”
“ค่ะ สบายดี”
“พี่สาวของคุณแต่งงานหรือยัง”
“ตะ...แต่งแล้ว” คำถามง่ายๆ แต่หล่อนกลับตอบตะกุกตะกัก แถมยังออกอาการเลิ่กลั่กอีกด้วย
“พี่เขยของคุณได้ดังใจไหม เขาเป็นพี่เขยในอุดมคติของพ่อแม่คุณหรือเปล่า”
“ฉันไม่ทราบค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา และอีกอย่าง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องภายในครัวของฉันด้วย”
“คุณหาว่าผมเสือกละสิ”
ถ้าไม่นับเสียงที่ติดสำเนียงแปร่งๆ อย่างคนอยู่เมืองนอกมานาน ซึ่งหากไม่สังเกตก็คงไม่รู้อีกเช่นกัน เมื่อฟังจากคำพูดคำจาของกวินทร์ คนส่วนใหญ่คงไม่รู้เขาจากเมืองไทยไปเกินครึ่งชีวิตของเขา...เพราะแต่ละคำที่พูดออกมานั้น มันทั้งเสียดสี ฉะฉาน และร้ายกาจ
เป็นอีกครั้งที่นลินีขยับกายออกห่างจนชนขอบโซฟาอีกด้าน เมื่อชายหนุ่มหันมาทั้งกายแล้วจ้องหน้าหล่อนอย่างจริงจัง
“บอกหน่อยสิว่าทำไมคุณถึงยังอยู่ในบ้านเจ้าสัว ทั้งที่คนในครอบครัวของคุณไม่ควรมีใครกล้ามาเสนอตัวด้วยซ้ำ”
‘เสนอตัว’ มันทำให้คนถูกต่อว่าชะงัก หล่อนไม่มั่นใจว่าเขาตั้งใจต่อว่าหรือเพียงใช้คำผิดกันแน่
“ฉันทำงานให้คุณตา ฉันก็เลยอยู่ที่บ้านของคุณตา มันไม่แปลกอะไรนี่คะ คนใกล้ชิดของคุณตาก็มีบ้านพักอยู่ภายในเขตรั้วตั้งหลายคน”
“คุณกำลังเคลมตัวเองว่าเป็นคนใกล้ชิดของเจ้าสัวงั้นสิ”
กวินทร์สรุปอย่างตรงไปตรงมา มันทำให้นลินีหน้าร้อนผ่าว หล่อนไม่ตั้งใจให้เขามองหล่อนว่าเป็นคนอย่างนั้น แต่นั่นแหละ เมื่อทบทวนคำพูดของตัวเอง มันก็ตีความเป็นอื่นไม่ได้จริงๆ
“ฉันทำงานในบริษัท ฉันรับผิดชอบแค่งานในบริษัทของคุณตาค่ะ”
“คุณนลินีหลานสาวของท่านประธาน” กวินทร์ทวนคำที่ได้ยินจากหัวหน้ารปภ.แล้วยิ้มหยัน “เจ้าสัวจ่ายให้ครอบครัวของคุณแพงมากนะ จ่ายด้วยหุ้นบริษัท เพราะถูกปลอมลายเซ็นเมื่อยี่สิบปีก่อน คราวนั้นเขายังเสียลูกสาวเพราะความเข้าใจผิดอีกด้วย ต่อจากนั้นเขายังต้องส่งเสียคุณให้เรียนในโรงเรียนเอกชนดีๆ ต่อด้วยมหาวิทยาลัยที่มีค่าเทอมแพงๆ...ยังไม่นับรวมที่เขาเกือบจะเสียลูกชายคนโตไปอีกคน เพราะพ่อแม่ของคุณพยายามยัดเยียดพี่สาวของคุณมาให้เป็นเมียของลูกชายเขา”
ได้ฟังการจาระไนจนหมดเปลือก นลินีก็อ้าปากค้าง หล่อนพยายามจะพูด แต่พูดไม่ออกสักคำ แม้หล่อนไม่ได้มีส่วนในการกระทำของคนในครอบครัว แต่ตัวเองก็เข้ามามีเอี่ยวรับผลประโยชน์ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์สักนิด
ดวงหน้านวลร้อนผ่าวดังถูกไฟสุม ความรู้สึกผิดกำลังอัดเข้ามากลางอก เมื่อกวินทร์หรี่ตามองหล่อนเหมือนต้องการชำแหละให้หมดเปลือก นลินีก็รู้สึกคล้ายตัวเองถูกปอกเปลือกจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน...หาคุณค่าในตัวเองไม่เจอเลย
“พวกคุณนี่มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเจ้าสัวธงชัยจริงๆ”