บทที่ 7
สโลนเนื้อตัวสั่นระริกด้วยความสับสนวุ่นวายใจ เธอแทบไม่ได้นึกถึงริพเลยจนกระทั่งได้ยินเสียงที่เขากระแทกตัวลงในเก้าอี้โยก เธอจับตามองพ่ออย่างระแวง ไม่แน่ใจว่าเขาจะพูดอะไรในเมื่อไม่มีครุซรวมอยู่ในที่นี่ด้วยแล้ว แต่ดูเหมือนเธอแทบไม่ต้องใช้เวลาในการรอคอยเลย
“บอกมาสิสโลน ว่ามันมาเรียกร้องเรื่องอะไร ครั้งนี้แกพาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวอะไรกับพวกมันอีก?”
“ฉันไม่ต้องการให้พ่อมาตัดสินฉันหรอกนะ” เธอกระแทกเสียงตอบ “ฉันเพียงแต่ทำในสิ่งที่คิดว่าสมควรจะต้องทำเพื่อให้ครุซรับเด็กเอาไว้เท่านั้น”
“ที่จริงแกควรจะเก็บลูกไว้เลี้ยงเองมากกว่า”
“แต่ว่านั่นมันลูกของโตนิโย่นะ...” เธอร้อง
“แต่มันก็ลูกแกด้วย แถมยังเป็นหลานชายของฉัน”
“มันเป็นลูกที่เกิดขึ้นจากความทรยศ ฉันเกลียดเด็กคนนั้นทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดอะไรของแกเลยก็ตาม พ่อเข้าใจไหม... ฉันเลี้ยงมันไม่ได้หรอก... ฉันเกลียด... ฉันแค้นมากเกินไป...”
“ใจเย็นๆ... ” ริพร้อง “พ่อบอกให้แกใจเย็นๆ ไว้ก่อนยังไงเล่า”
สโลนพยายามสงบปากสงบคำไว้ ทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้โยกตัวใกล้กัน เอนศีรษะพิงพนักไว้ก่อนจะเริ่มโยกตัวเบาๆ ความตึงเครียดที่เกิดอยู่ระหว่างกันค่อยคลายลงพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์ที่เลือนลับขอบฟ้า
“แล้วนี่แกคิดจะไปอยู่ที่โดโลรอสซ่าหรือเปล่าล่ะ?” ริพเอ่ยถามทำลายความเงียบขึ้น
“ฉันเป็นเมียเขาไม่ได้หรอก”
“ถ้างั้นมันก็คงต้องกลับมา”
“ฉันรู้... แต่อย่าห่วงไปเลย ฉันจัดการกับครุซได้”
เมื่อความมืดปกคลุมลง สตีเฟ่น ทาสที่ทำหน้าที่ดูแลทุกสิ่งภายในบ้านมาตั้งแต่อะมีเลียตาย...ตั้งแต่คริกเก็ตยังเด็กก็จุดตะเกียงทุกดวงภายในบ้านขึ้น แสงสีเหลืองสาดสว่างออกมาทางช่องหน้าต่างด้านหน้าของตัวบ้าน พอที่จะทำให้สโลนกับริพมองเห็นหน้ากันและกันได้
“มันแย่มากที่เรื่องราวกลายเป็นแบบนั้น พ่อรู้ว่าแกเองก็คงคิดถึงลูก…”
“ได้โปรดเถอะพ่อ... อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย ฉันไม่อยากฟัง”
“อย่าเพิ่งขัด... แล้วก็อย่ามาทักท้วงอะไรฉันด้วย...!”
สโลนกอดอกไว้แน่น พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้
“พ่อรู้ว่า เบย์ น้องสาวของแก พยายามให้แกกับซิสโค่ได้พบกันที่ไร่ของผัวมัน พ่อรู้เรื่องที่มันเจ็บปางตายแล้วแกไปดูแลมัน แล้วก็รู้ด้วยว่า ทันทีที่มันหายดีแกก็เลิก ไม่ยอมไปเยี่ยมมันอีกเลย พ่อรู้นะว่าแกจะต้องมีเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เหล่านี้”
สโลนตวัดสายตามองไปเสียทางอื่นที่ไม่ใช่ใบหน้าริพ ยังจดจำความรู้สึกยามที่ได้โอบอุ้มลูกชายวัย 3 ขวบไว้เป็นครั้งแรก นับแต่วันที่ส่งตัวแกให้กับครุซ เนื้อหนังของซิสโค่เนียนนุ่ม เธอรักความรู้สึกยามที่ขาป้อมๆ ของแกคล้องอยู่รอบเอวเธอ ขณะที่แขนอวบๆ ก็คล้องอยู่กับคอ แกกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างซึ่งเป็นคำพูดแบบเด็กๆ เป็นภาษาอังกฤษผสมสเปนกับเธออยู่
มันเป็นการง่ายมากที่จะรักลูกชายตัวน้อย ตอนที่แกถูกโจมตีด้วยพวกโคมันเช่และอาการอยู่ในขั้นปางตายนั้น เธอแทบจะสิ้นสติเมื่อได้ตระหนักว่า ถ้าเธอสูญเสียแกไปชีวิตของเธอก็คงแหลกสลายตามไปด้วย
มันเป็นสิ่งน่ากลัวมากเมื่อคิดถึงว่า แม้แต่ความรักที่อ่อนโยนระหว่างแม่กับลูก ก็ยังมีอันตรายได้ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจว่า ทางที่ดีแล้วไม่ควรจะรักใครเลย ดูเหมือนหนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้ คือจะต้องยอมสูญเสียความรักของตัวเอง
“ถึงยังไงแกก็ปฏิเสธความจริงไปไม่ได้หรอกว่าแกมีลูกอยู่ทั้งคน” ริพกล่าวต่อ “เมื่อไหร่ก็ตามที่แกแก่ตัวเท่าพ่อแกจะสำนึกได้ว่ามันไม่มีโอกาสครั้งที่สองอีกแล้วในชีวิตนี้ นี่ถ้าพ่อรู้ว่าตัวเองมีลูกชายไว้ที่ไหนสักแห่ง... แกเชื่อได้เลยว่าพ่อจะต้องรักมันอย่างมาก”
แต่พ่อไม่มีลูกชายเลยสักคน... สโลนคิดอยู่ในใจ เพราะเหตุนั้นที่ทำให้เธอกับน้องทั้งสอง ต้องเข้าไปทำหน้าที่แทนลูกชายในความฝันของพ่อ... สถานการณ์มันจะเปลี่ยนไปขนาดไหน ถ้าริพจะมีลูกชายสักคนแทนที่จะมีลูกสาวถึง 3 คนเช่นนี้
สโลนแทบไม่คิดเลยว่า ชีวิตของตัวเองจะเป็นเช่นไรถ้าเธอไม่ได้เป็นทายาทของพ่อ เธอจะปฏิเสธความรักหรือไม่ถ้าเธอจะไม่มีภารกิจของไร่ทรี โอ๊คส์ที่ต้องแบกอยู่บนไหล่ตลอดเวลาเช่นนี้...?
สโลนบอกกับตัวเองว่า เธอควรจะไปหาครุซและพูดจากับเขาเสียให้รู้เรื่อง เพื่อให้จบสิ้นกันไปเลย เงื่อนไขของเขามันใช้ไม่ได้ เพราะเธอไม่มีวันยอมอนุญาตให้ตัวเองรักใครอีกทั้งเธอก็ไม่อาจเป็นภรรยาผู้เต็มใจจะปฏิบัติตามคำสั่งหรือคล้อยตามทุกความเห็นของสามีไปเสียหมด อย่างที่เขาหวังจะเห็นเธอเป็นด้วย
เขาควรจะแต่งงานกับผู้หญิงคนที่เขาพามาจากสเปนด้วยเสียดีกว่า เธอได้ยินมาว่า ซินยอริต้าผู้นี้เป็นผู้หญิงที่สวยอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอีกต่างหาก
เธอหันไปทางริพ เพื่อจะบอกให้เขารู้ถึงการตัดสินใจของตนเอง... แต่ก็พบว่าเขาหลับไปแล้ว... ดูเหมือนสภาพร่างกายของเขาไม่อาจทนต่อการเรียกร้องจากจิตใจอย่างที่เขาหวัง อาการอัมพฤกษ์ดูดดึงเรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น จะเหลือไว้ก็แต่เพียงกำลังใจเท่านั้น
ในความหลับ ริพดูเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว แต่เธอก็รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาเป็นคนที่กล้าแกร่งไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร เช่นเดียวกับแผ่นดินผืนนี้ที่เขาเฝ้าปลุกปล้ำพลิกฟื้นจนมันกลายเป็นแผ่นดินทองของเขาได้ และเขาก็ได้อบรมเลี้ยงดูเธอมา เพื่อให้เป็นตัวแทนของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
อนาคตของเธอผูกพันอยู่กับทรี โอ๊คส์ เธอรักแผ่นดินนี้มีความสุขทุกครั้งเมื่อฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตมาถึง เพราะนั่นคือสิ่งที่แผ่นดินมอบมาให้
ครุซไม่เคยคิดมาก่อน ว่าตอนที่เขาให้สัตย์สาบานกับตัวเองที่จะชดใช้ให้แก่รัฐเท็กซัส สำหรับการกระทำอันทรยศต่อแผ่นดินเกิดของอันโตนิโย่นั้น จะทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐแต่งตั้งให้เขาเป็นสายลับ แต่มันก็เป็นไปแล้ว...
เนื่องจากก่อนหน้านี้ น้องชายของเขามีความเกี่ยวโยงอยู่กับรัฐบาลเม็กซิกัน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่าย ที่จะทำให้รัฐบาลอังกฤษเชื่อ ว่าเขาเต็มใจจะเป็นสายลับเพื่อช่วยให้เม็กซิโกติดต่อกับเท็กซัสได้สะดวกขึ้น
เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้รับมอบหมายให้เข้าไปสืบว่ารัฐบาลอังกฤษวางแผนร่วมกับรัฐบาลเม็กซิกันอย่างไร ในอันที่จะขัดขวางแผนการของประธานาธิบดีฮูสตัน ในอันที่จะรวมรัฐเท็กซัสเข้ากับสหรัฐอเมริกา ถ้าจำเป็น เขาจะต้องให้ข้อมูลที่ผิดพลาดแก่รัฐบาลอังกฤษด้วย
ขณะที่เขาวุ่นวายอยู่กับการที่จะให้ได้ตัวสโลนมานั้นเขารู้ว่ามันจะทำให้การทำงานของเขาสับสนยิ่งขึ้นกว่าเดิมเขาคิดว่า ถ้ามีโอกาสอธิบายให้เธอฟัง เธอจะต้องเข้าใจและเห็นด้วยกับการกระทำของเขา น่าเสียดายที่เขาจะต้องเก็บงำความลับนี้ไว้เพียงลำพัง
ภายหลังจากที่เธอผ่านประสบการณ์จากอันโตนิโย่แล้ว ครุซแน่ใจว่าสโลนจะต้องเข้าใจผิดในภารกิจของเขา จะต้องสรุปข้อมูลผิดๆ ตามความเข้าใจของตนเอง ดังนั้น เขาจึงวางแผนที่จะพูดคุยกับสายลับชาวอังกฤษที่ติดต่ออยู่เสียวันนี้เพื่อให้แน่ใจ ว่าบุรุษผู้นั้นจะไม่ไปพบเขาที่แรนโช โดโลรอสซ่าอีก...
ครุซระมัดระวังตัวที่จะไม่ให้ใครเห็น เมื่อขึ้นบันไดไปยังชั้น 2 ของโรงแรมเฟอร์กูสัน’ส เขาพบห้องที่สายลับผู้นั้นพักอยู่ เคาะประตูห้อง 2 ครั้ง รอเวลาเล็กน้อยแล้วจึงเคาะตามอีก 1 ครั้ง
“ใคร?”
“ฮอว์ค” เขาบอกชื่อรหัสที่รัฐบาลอังกฤษให้ไว้
ประตูเปิดออก เผยให้เห็นบุรุษชาวอังกฤษรูปร่างอ้วนเตี้ย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส เขาคือเซอร์ ไจลส์ แชพแมน ผู้ซ่อนสติปัญญาเปรื่องปราดไว้ในศีรษะที่ล้านเลี่ยน เซอร์ ไจลส์ทำมือเป็นสัญญาณให้ครุซเข้าไปในห้อง กวาดสายตาไปทั่วห้องโถงทางเดินด้วยความรอบคอบอีกครั้งก่อนจะปิดประตูลง
“วันนี้มีรายงานติดมาด้วยหรือเปล่า?” เซอร์ ไจลส์เอ่ยถาม
“ผมเขียนทุกอย่างลงไว้หมดแล้ว”
เซอร์ ไจลส์ผงกศีรษะอย่างรับรู้และรับเอกสารข้อมูลผิดๆ นั้นไปเปิดอ่าน แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ถ้าอย่างนั้น... มันก็มีแนวโน้มอยู่ ว่าขณะนี้ประธานาธิบดีฮูสตันก็ยังอยากให้เท็กซัสเป็นรัฐอิสระมากกว่าจะเอามารวมเข้าไว้กับสหรัฐฯ สินะ?”
“เท่าที่ผมทราบมันก็เป็นไปทำนองนั้นครับ”
คำตอบของเขาทำให้เซอร์ ไจลส์หัวเราะออกมาเบาๆ
“ต้องขอบคุณพระเจ้าอย่างมาก ที่ฮูสตันไม่เปลี่ยนความคิดตลอดฤดูร้อนที่ผ่านมา... มันมีข่าวลืออยู่ว่า... ช่างเถอะอย่างน้อยมันก็เป็นการดีแล้วละที่ได้รู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องห่วงตัวเองกับความพยายามที่จะถ่วงเวลาการรวมเท็กซัสเข้าไว้ของสหรัฐฯ”
“แต่ถึงยังไง ในรายงานนี่ ผมก็คงไม่ได้บอกรายละเอียดทุกอย่างที่สายลับอังกฤษของคุณยังไม่ได้บอกคุณไม่ใช่หรือครับ?” ครุซว่า
“มันก็จริงอยู่หรอก แต่ในความแตกต่างนี่ไงล่ะที่ทำให้รายงานของคุณเป็นสิ่งมีค่า ผมหวังว่าเดือนหน้าจะได้รับรายงานจากคุณอีกนะ หรือถ้าเร็วกว่านั้นได้ก็ยิ่งดี เพราะบรรยากาศทางการเมืองมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงง่าย คุณคงเข้าใจใช่ไหม?”
“แน่นอน”
“หมดเรื่องแล้วใช่ไหม?”
“มันยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ” ครุชบอก ซึ่งทำให้เซอร์ ไจลส์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ผมกำลังจะรับภรรยามาอยู่ด้วย และเนื่องจากความคิดเห็นทางการเมืองของเธอไม่ค่อยตรงกับผม ผมจึงจำเป็นต้องขอร้องคุณว่าอย่าไปพบผมที่บ้านไร่ของผมอีก”
“เอ๊ะ... นี่แปลว่าคุณไม่สามารถควบคุมภรรยาคุณได้เลยงั้นหรือ?”
ครุซไม่ใส่ใจทั้งน้ำเสียงและคำพูดเป็นเชิงดูหมิ่นความเป็นชายของเขา
“ผมได้บอกถึงความต้องการของผมให้คุณรับทราบแล้วนะครับ หวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือด้วย”
“ผมเห็นจะให้สัญญาอะไรไม่ได้หรอกนะ” บุรุษชาวอังกฤษกล่าว “ในภารกิจแบบนี้คุณจะต้องเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่ามันสามารถจะมีข้อยกเว้นในเวลาที่จำเป็นได้”
“ถ้าเช่นนั้น ก็จงทำให้เป็นความจำเป็นที่จะไม่ไปพบผมที่บ้านอีกต่อไปด้วยก็แล้วกัน” ครุซบอกพร้อมกับผงกศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง...