บทที่ 5
...อรุณเรืองเรื่อขึ้นอย่างช้าๆ... ฉุดลากพระอาทิตย์ดวงใหญ่แห่งเท็กซัสตามมาด้วย ครุซรู้สึกเหมือนตัวเองถูกถ่วงไว้ด้วยน้ำหนักของวันเวลา ขณะออกจากโรงแรมเดินมุ่งหน้าไปยังจตุรัสใหญ่กลางเมือง... วันนี้คือวันแห่งการสิ้นสุด... ขณะเดียวกันมันก็จะเป็นวันแห่งการเริ่มต้นด้วย
นักโทษ 2 คน ถูกเฆี่ยนไปแล้ว ก่อนที่อะลีจันโดรจะถูกนำตัวไปพบกับเพชฌฆาต ทหารหน่วยแรงเยอร์แห่งเท็กซัส 2 นายคุมตัวจอมโจรขึ้นไปยังยกพื้น จัดการสวมถุงลงบนศีรษะตามมาด้วยห่วงที่ใช้สำหรับแขวนคอแสงอาทิตย์สาดสว่างกระทบอยู่กับกำไลข้อมือเงินประดับเทอควอยซ์ ขณะที่มือของเขาถูกพันธนาการไว้ข้างหลัง
บัดนี้ คำขู่ของจอมโจรที่ว่าจะหนีไปให้ได้นั้นมันเป็นเพียงแค่คำคุยโวเท่านั้น... ครุซคิดอยู่ในใจ... เพราะถึงอย่างไรมันก็ต้องตายเช้านี้แล้ว...
ครุซแทบไม่ได้สังเกตเห็น ตอนที่ลุคเดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ เขาได้ยินเสียงพระกำลังกล่าวอะไรบางอย่างดังมาจากยกพื้นนั้น ครู่ต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงประตูลับตรงพื้นที่เปิดออกร่างของอะลีจันโดรดิ้นทุรนทุรายอยู่กลางอากาศขณะที่คอถูกรัดไว้ด้วยเชือกบ่วง
ครุซรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ อะลีจันโดรใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตาย กลิ่นปัสสาวะโชยฉุนมาต้องจมูก เขาพอจะมองเห็นภาพใบหน้าของจอมโจรที่อยู่ในถุงผ้าสีดำออก ลิ้นสีม่วงของมันจะต้องออกมาจุกปาก ดวงตาเหลือกลานด้วยความกลัว... เพียงแค่คิดก็แทบจะทำให้เขาอาเจียนออกมา... แต่ในที่สุด ร่างของจอมโจรก็ยุติการดิ้นรนลง กลิ่นไอแห่งความตายที่คละคลุ้งไปทั่วแทบจะทำให้ครุซหมดสติไปด้วย
“เราไปกันเถอะ” เขาหันไปบอกลุค
ครุซมุ่งหน้าไปยังคอกที่ฝากม้าหนุ่มฝีเท้าเยี่ยมของตัวเองไว้ เจ้าสัตว์แสนรู้ส่งเสียงร้องทักทายพร้อมกับเต้นเร่าๆ เมื่อเห็นครุซเข้า เขารีบแก้เชือกที่ผูกมันไว้ออก
ลุคอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปลูบไล้สีข้างมัน
“ม้าตัวนี้สวยมาก”
“ใช่... มันสวยมากทีเดียว” ครุซตอบ เอื้อมไปหยิบผ้าคลุมอานขนสัตว์มาพาดลงบนหลังมันแล้วจึงพาดอานหนังสีดำที่ประดับด้วยแผ่นเงิน ขลิบขอบด้วยกระดิ่งเงินเล็กๆ รายรอบลงมันจะทำให้เกิดเสียงไพเราะเวลาที่เขาขี่อยู่
“ท่าทางคุณดูรีบร้อนนะ” ลุคเอ่ยขึ้นราวตั้งข้อสังเกต
“ใช่” ครุซตอบพร้อมกับเหวี่ยงขาขึ้นคร่อมอานด้วยท่วงท่าสง่างาม ดึงขอบหมวกให้ต่ำลงเล็กน้อยเพื่อบังแสง “ฮัสต้า ลูอีโก้ มี อะมีโก้” เขากล่าวคำร่ำลากับลุค
“เฮ้... คุณจะไปไหนน่ะ?” ลุคร้องถามเมื่อครุซบังคับม้าให้วิ่งออกจากตรงนั้น
“ผมจะไปทวงสัญญา... ” ครุซตะโกนตอบ
“ผมมารับเมีย...!”
ริพ สจ๊วตเอนร่างอย่างสบายอารมณ์อยู่ในเก้าอี้โยกบนระเบียงด้านหน้าของบ้านไร่ทรี โอ๊คส์ จนเมื่อได้ยินเสียงกระดานดังลั่นขึ้น ดวงตาคู่สีเทาเปล่งประกายไฟคู่นั้นไม่ได้ละจากเรือนร่างองอาจของชายหนุ่มชาวสเปน ที่กำลังยืนเท้าสะเอว เผชิญหน้ากับเขาอยู่
“ก็ใครล่ะที่เป็นเมียแก?” ริพกระชากเสียงถามออกไป
“ก็สโลน...ลูกสาวคุณไงล่ะ”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ริพกระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“นี่แกยังจะใช้ความพยายามอยู่อีกหรือ?”
“คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว ผมมารับสโลนไปที่แรนโชโดโลรอสซ่า ในฐานะเมียผม”
ริพสั่นศีรษะ เรือนผมสีน้ำตาลแกมเทาส่ายไหวอยู่ไปมา เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองกำลังได้ยินอยู่เลย
“สงสัยว่ามันจะต้องมีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแล้วละ ไอ้ลูกชาย เมื่อเช้านี้ไม่เห็นสโลนพูดว่าจะไปไหนกับแกเลยนี่ ไม่ว่าจะไปในฐานะเมียหรืออะไรก็ตามแต่เถอะ” ริพถอนหายใจ “ฉันยอมรับละว่า ก่อนหน้าที่พ่อของแกจะตายฉันได้ให้สัญญากับเขาไว้ว่าจะให้แกแต่งงานกับคริกเก็ต ลูกสาวคนสุดท้องของฉัน แต่เราไม่ได้พูดกันถึงสโลน ที่เป็นลูกสาวคนโตของฉันเลยนี่ ยิ่งกว่านั้นฮวน คาร์ลอส ก็ยังเป็นคนยกเลิกสัญญานั่นเองตอนที่คริกเก็ตหนีไปแต่งงานกับพลทหารที่ชื่อจาร์เรทท์ ครีด...แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
“สโลนเป็นคนเอ่ยปากตกลงเองว่าจะไปอยู่ที่แรนโชโดโลรอสซ่า”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง...! เวลานี้สโลนมันจมอยู่ในกองฝ้ายที่สูงจนท่วมสะโพกแล้ว และมันก็ยังจะต้องอยู่แบบนั้นอีกนานทีเดียว อาทิตย์นี้จู่ๆ มันก็วิ่งไปไหนมาสักแห่งแล้ว โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น แค่นั้นมันก็น่าจะพอแล้วนะ ฉันว่าแกกลับมาใหม่ตอนที่ฝ้ายเข้ามัดแล้วก็ส่งลงเรือไปกัลเวสตันก่อนก็แล้วกัน บางทีตอนนั้นมันอาจจะมีเวลาคุยกับแกบ้าง”
แต่ครุซไม่ได้หวั่นไหวกับคำพูดของพ่อเฒ่าแม้แต่น้อย
“เขาจะต้องกลับบ้านไปกับผมวันนี้...!”
“ถ้ายังงั้น พอจะบอกให้ฉันรับรู้ไว้หน่อยได้ไหม ว่าเพราะอะไรแกถึงมั่นใจขนาดนั้น?”
“ผมว่า... บางทีมันอาจจะดีกว่านะ ถ้าให้สโลนอยู่ที่นี่ด้วย เขาจะได้ตอบคำถามของคุณด้วยตัวเองยังไงล่ะ”
“แต่ฉันว่าแกพูดมาตอนนี้เลยจะดีกว่า” ริพบอกอารมณ์ขันหายไปจากน้ำเสียงของเขาหมดแล้ว
ครุซประสานสายตาอยู่กับริพ แววในดวงตาคู่สีฟ้าเข้มของเขาไม่ได้บอกอะไรทั้งสิ้น...
ริพแช่งด่าอาการอัมพฤกษ์ที่ทำให้เขาต้องประคับประคองตัวเองขึ้นจากเก้าอี้อย่างปราศจากความสง่างามโดยสิ้นเชิง เขาอยากจะเอากำปั้นเสยคางเจ้าลูกหมาน้อยตัวนี้เสียนัก แต่ในเมื่อเป็นอัมพฤกษ์เช่นนี้มันก็หมดทางที่จะทำอะไรได้ทั้งสิ้น ดังนั้นในท่าที่เกาะไม้เท้าพยุงกาย เขาจึงได้แต่ใช้สายตาบีบบังคับหวังจะให้ชายหนุ่มอ่อนข้อลงต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอย่างท้าทายอยู่เช่นนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
“ตอนนี้สโลนอยู่ไหน?” ครุซเอ่ยถามขึ้น
ท่าทางของริพเหมือนไม่อยากตอบ แต่ในที่สุดก็พูดออกมาว่า
“อยู่ในไร่ฝ้าย กำลังตรวจตราการเก็บเกี่ยวฝ้ายอยู่กว่าจะกลับก็มืดค่ำโน่นละ” เขามองไปทางดวงอาทิตย์ที่กำลังลดต่ำลงตรงขอบฟ้า “ก็คงจะอีกสักพักใหญ่ๆ ละมัง”
“งั้นผมจะรอ”
ริพส่ายหน้าอีกครั้ง คนหนุ่มมักจะดื้อดึงอย่างนี้เสมอเขายอมรับว่าขณะนี้บังเกิดความสงสัยใคร่รู้อย่างมากว่าเพราะเหตุใด ครุซ เควอเรโร่ จึงกล้าที่จะอ้างสิทธิ์ของตนเองขนาดนั้น...เอาไว้ให้สโลนกลับมาเสียก่อน เขาจะต้องซักถามให้รู้เรื่องให้จงได้ เขาอยากจะเห็นการเผชิญหน้าระหว่างชายหนุ่มหัวแข็งกับลูกสาวใจกล้าของเขาเสียเหลือเกิน
“เอ้า... ถ้าคิดจะรอก็หาที่นั่งเสียก่อน... ”
ครุซพิจารณาชิงช้าไม้เก่าแก่ที่แขวนไว้กับหลังคาระเบียง แล้วก็มองไปทางเก้าอี้โยกที่อยู่ข้างตัวริพ ในที่สุดก็เลือกที่จะทรุดตัวลงนั่งบนบันไดขั้นบนสุดของระเบียงที่มีอยู่ด้วยกัน 3 ขั้น ยืดเท้าไปข้างหน้า เอนหลังพิงอยู่กับเสาทรงกลมที่ค้ำยันหลังคาไว้
ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงขณะที่เขาสอดส่ายสายตามองหาสโลนที่นั่งอยู่บนหลังม้ากลางไร่ฝ้าย ถ้าเธออยู่ที่นั่นจริงการจะมองเห็นด้วยตาเปล่าน่าจะเป็นไปได้ยาก ครุซดึงเชอรูทออกมาจุดสูบ และเอนหลังพิงเสาเฝ้ารอคอยอยู่
เสียงที่ทำลายความสงัดเงียบในยามนี้จะมีก็แต่เสียงเก้าอี้โยกตัวที่รพนั่ง เสียงหวู่หวี่ของฝูงแมลง กับเสียงร้องเพลงของคนงานชาวนิโกรที่สายลมแห่งเดือนกันยายนพาลอยล่องมาเข้าหู
ริพรู้สึกอึดอัดกับความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศในยามนี้อยู่ แต่เขาก็ห่างจากเพื่อนฝูงตลอดเวลาหลายเดือนที่รักษาอาการอัมพฤกษ์ของตน จึงปรารถนาที่จะมีใครสักคนเป็นเพื่อนคุย
“การเดินทางไปสเปนเมื่อฤดูร้อนปีกลายนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?” เขาเอ่ยถามขึ้น หลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องสโลน
ครุซถอนสายตาจากไร่ฝ้าย หันมามองบุรุษวัยชรา
“ก็ทำงานทุกอย่างที่ตั้งใจไปทำสำเร็จเรียบร้อยดีแล้วก็ยังได้สำเนาเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินในเท็กซัสของตระกูลเควอเรโร่มาด้วย เพราะฉะนั้น ถึงเท็กซัสจะเป็นอีกรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ ใครก็จะมาเอาที่ดินของแรนโชโดโลรอสซ่าไปไม่ได้”
“ถึงยังไงมันก็จะต้องเป็นอีกรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ อยู่แล้วละ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยอะไรเลย ผู้แทนของเราในวอชิงตันก็บอกแล้วว่า มันเป็นสิ่งถูกต้องที่สมควรกระทำ”
“เวลานี้ยังไม่ถึงกับสำเร็จหรอก”
“อีกไม่นาน วุฒิสภาอเมริกันจะต้องมีการลงคะแนนเสียงกันอีก รับรองว่าพวกเขาจะไม่สร้างความผิดพลาดเหมือนที่ทำมาแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนแน่ คราวหน้านี้พวกเขาจะต้องขอให้เท็กซัสเข้าไปรวมตัวเป็นสหรัฐฯ ด้วยแน่นอน พวกเขาก็มองเห็นกันอยู่แล้วนี่ ว่าการทำอย่างนั้นนอกจากไม่มีอะไรต้องเสียแล้วก็ยังได้รับประโยชน์อีกตั้งมากมาย”
“ตอนแรกผมคิดว่า คุณจะไม่เห็นด้วยกับการที่เท็กซัสจะผนวกเข้าเป็นสหรัฐฯเสียอีก... ผมคิดว่าคุณอยากจะให้เท็กซัสเป็นรัฐอิสระมากกว่า” ครุซว่า
ริพหัวเราะเบาๆ รู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้างที่ถูกจับได้ ว่าตนเองเปลี่ยนความคิดไปแล้ว
“อันที่จริง คนอย่างฉันมันก็ได้ชื่อว่าเปลี่ยนใจยากอยู่เหมือนกันนะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมหมายความว่า คุณจะต้องมองเห็นว่าเท็กซัสได้เป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ แล้วละก้อ ย่อมจะต้องได้รับประโยชน์อะไรบางอย่างแน่”
“อย่างน้อยเราก็ได้กองทหารมาควบคุมไอ้ฆาตกรโคมันเช่พวกนั้นละ” ริพระเบิดออกมา “แล้วก็ยังจะได้รับการคุ้มครองจากสหรัฐอเมริกา ป้องกันไม่ให้ไอ้พวกโจรเม็กซิกันที่คอยแต่จะเข้ามาแทะชายแดนภาคใต้ของเราอยู่ตลอดเวลา”
ริพยังอดคั่งแค้นใจไม่ได้ที่เบย์ ลูกสาวคนกลางของเขาถูกหัวหน้าเผ่าโคมันเช่ฉุดไป เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านโควฮาดิ นานถึง 3 ปี ก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือออกมาโดยลอง ไควเอท ซึ่งเป็นลูกครึ่งโคมันเช่ และเป็นสามีเธอในปัจจุบัน