บทที่ 4
ครุซหรี่ตาลง มีข่าวลืออยู่ว่าลุค ซัมเมอร์นั้นมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้หญิง ราวฝูงแมลงวันที่บินตอมน้ำผึ้ง ดูเหมือนเขาแทบไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจเลยเมื่อเอ่ยออกไปว่า
“งั้นผมจะไปด้วย”
สโลนขยับจะทักท้วง แต่แล้วก็ยักไหล่เบาๆ
“ฉันคงห้ามคุณไม่ได้”
ครุซถอยห่างจากเธอ สโลนไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรือนร่างของเขาจะสูงสง่าปานนั้น เธอเดินหลีกเขาออกจากซอยไปสู่แสงแดดอันอบอุ่นแห่งเดือนกันยายน
หัวใจของเธอเต้นระทึก ต้องสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไว้เพื่อตั้งสติให้มั่น ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังตัวอาคารเตี้ยๆ เพื่อพบกับนายทหารยศร้อยตรีผู้นั้น โดยมีครุซตามไปห่างๆ ราวรูปเงาของเธอ
บานเกล็ดหน้าต่างของตัวอาคารกองบัญชาการถูกปิดไว้เพื่อรักษาความเย็นภายใน สโลนต้องปรับสายตาอยู่เป็นครู่กว่าจะมองเห็นลุค ที่อิงร่างอยู่กับขอบโต๊ะทำงาน
เธอพบลุค ซัมเมอร์ครั้งแรก ตอนที่เขาพาทหารไปช่วยคุ้มครองทรี โอ๊คส์ ตอนที่ถูกข่มขู่ด้วยกองโจรโคมันเช่
ลุคมีเรือนร่างสูง สะโอดสะอง เรือนผมสีน้ำตาลเข้มแซมด้วยสีบลอนด์ เนื่องจากเขาต้องเข้าไปทำงานหนักอยู่ในคุกเม็กซิกันอยู่หลายปีหลังถูกฝ่ายนั้นจับในการต่อสู้ครั้งใหญ่ใบหน้าเขาประกอบด้วยโหนกแก้มสูง จมูกแคบปากค่อนข้างกว้าง ลุคมีดวงตาคู่สีน้ำตาลก็จริงแต่บ่อยครั้งที่เธอเห็นมันเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือสีทอง ซึ่งขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา ทว่ามันมีแววเศร้าที่แฝงลึกอยู่ในตวงตาคู่นั้นด้วย
ลุคกำลังขยับข้อมือเหวี่ยงบ่วงบาศอยู่ตอนที่เธอเดินเข้าไป พอเห็นเธอเข้าเขาก็วางมือพร้อมกับทักทาย
“สวัสดี สโลน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไรหรอก...” เธออดเหลือบตามองไปทางครุซไม่ได้ “เพียงแต่ก่อนจะกลับบ้าน ฉันอยากจะแวะมาขอบใจที่คุณช่วยจับอะลีจันโดร ซานเชสน่ะ”
“อ้าว... คุณจะกลับแล้วหรือนี่ พรุ่งนี้เขาก็จะแขวนคอมันแล้ว”
“ฉันรู้ แต่เห็นจะไม่รออยู่ดูหรอก จะยังไงก็แล้วแต่... ขอขอบใจอย่างยิ่งก็แล้วกัน”
“ผมก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น” ลุคเหยียดร่างขึ้นยืนเต็มตัว มองไปทางเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ฟากตรงข้ามโต๊ะทำงาน“จะนั่งก่อนไหมล่ะ สโลน?”
“ไม่ละ ฉันอยากจะออกเดินทางกลับบ้านเลย ไม่อยากทิ้งริพไว้คนเดียวนานเกินไป”
“ผมคิดว่าพ่อของคุณจะหายจากอาการอัมพฤกษ์แล้วเสียอีก” ลุคกล่าว
“ก็... ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วละ” เธอรีบรับรอง “นอกเสียจากว่าเวลาจะเดินไปไหนมาไหนจะต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเท่านั้น แต่รับรองได้ว่าอีกไม่นานเขาจะต้องกลับเป็นตัวเองเหมือนเดิมแน่ แต่เขาค่อนข้างจะใจร้อนเกินไปหน่อย ถ้าฉันไม่อยู่ด้วยละก้อ เขาจะต้องทำอะไรที่เกินความสามารถของตัวเองแน่ ทำไมคุณไม่ลองแวะไปเยี่ยมล่ะจะได้รู้ว่าอาการของเขาดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน?”
“ผมก็ตั้งใจไว้เหมือนกันว่าจะไป แต่ต้องรอให้หัวหน้าเฮย์กลับมาก่อน เพราะผมไม่ชอบผูกตัวเองไว้กับโต๊ะทำงานแบบนี้อยู่แล้ว ว่าแต่... คุณจะเดินทางกลับไปทรี โอ๊คส์คนเดียวงั้นหรือ?”
“ตอนมายังมาคนเดียวเลย” สโลนถือว่านั่นคือคำตอบ
“แต่คุณจะไม่ได้ขี่ม้ากลับบ้านคนเดียวหรอก” ครุซเอ่ยขึ้น ซึ่งทำให้สโลนหรี่ตาลงทันที
ลุคเลื่อนสายตาจากสโลนไปที่ครุซแล้วก็กลับมามองหน้าเธออีกครั้ง
“ในขณะที่มีทั้งพวกโคมันเช่ พวกโจรข้ามแดนแล้วก็ยังพวกที่อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ที่ต่างก็กระหายจะยึดแผ่นดินอยู่อย่างนี้ ก่อนหน้าที่เท็กซัสจะได้รับการรับรองว่าเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐฯเช่นนี้ ผมว่ามันไม่เหมาะที่จะหวังว่าจะเดินทางได้อย่างปลอดภัยนะ ทางที่ดีผมจัดทหารไปให้ความคุ้มครองคุณด้วยจะดีกว่า”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันดูแลตัวเองได้”
ลุคพอจะจับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของครุซได้จึงเอ่ยต่อว่า
“ตอนนี้ผมส่งโจอี้กับแฟรงค์ให้ไปคอยสังเกตการณ์อยู่ที่โรงแรมเฟอร์กูสัน’ส แต่ผมรู้ว่าเจ้าสองคนนี่ชอบขี่ม้าลาดตระเวนมาก จะให้ผมเรียกตัวมาดีไหมครับ?”
“อย่าเลยค่ะ” สโลนตอบ
“ดีครับ” ครุซเองก็ตอบออกไปพร้อมกัน
สโลนหันมาเผชิญหน้าครุซ ใช้นิ้วจิ้มลงไปที่แผงอกเขาอย่างขุ่นเคือง
“นี่...ฉันไม่ต้องการให้มีใครตามไปส่งฉันจนถึงบ้านเข้าใจไหม... ฉันดูแลตัวเองได้... เข้าใจหรือยัง?” พูดจบเธอก็เดินปึงปังออกจากห้องทำงานของลุค กระแทกประตูใส่หน้าเขาปังใหญ่ ลุคต้องกลั้นยิ้มไว้สุดกำลัง
“เดี๋ยวผมจะจัดการส่งโจอี้กับแฟรงค์ให้ตามไปห่างๆ” เขาบอกกับครุซ
ครุซถอดรองเท้าบูทก่อนจะทอดร่างลงบนเตียงนอนภายในห้องพักของโรงแรมเฟอร์กูสัน’ส... เขาจุดเชอรูทขึ้นมวนหนึ่ง พ่นควันหอมหวานออกมาช้าๆ ขณะรอเวลาอรุณรุ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกดำเนินการไปตามขั้นตอน แม้จะค่อนข้างช้า แต่เขาก็ค่อยๆ จัดการสะสางปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่น้องชายตายลงได้ทีละเปลาะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อันโตนิโย่ได้กระทำลงไป... ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากความโลภโมโทสัน ความเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ครุซยอมรับกับตัวเองว่า การที่จะรับสโลนเป็นภรรยาของเขานั้น มันเป็นอะไรบางอย่างที่ท้าทายความสามารถกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มาก
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะแต่งงานใหม่ได้ ภายหลังจากที่ได้เห็นวาเลอรี่ ภรรยาของเขาต้องเสียชีวิตจากการคลอดลูกการแต่งงานของเขาเกิดจากการที่พ่อแม่ช่วยจับคู่ให้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะวาเลอรี่เองก็เป็นหญิงสาวที่สวยน่ารัก และเขาเองก็อยากจะมีครอบครัวเป็นหลักฐานเสียที
แต่หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็ได้พบว่า การที่ภรรยาสาวสวยดูจะเชื่อฟังพร้อมจะอยู่ในโอวาทของเขาไปเสียหมด ก็เพราะเธอไม่มีสมองที่จะคิดอะไรได้ด้วยตนเองเลยเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงหมดความเสน่หาในตัวเธอก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิตขณะคลอดลูกดังกล่าว
ตอนที่เธอตายลงนั้น ครุซบังเกิดความรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง ลงโทษว่าเขาเป็นคนที่ทำให้วาเลอรี่มีชีวิตอยู่อย่างไร้ความสุขอย่างที่ไม่น่าจะเป็น เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาถึงกับสาบานว่าจะไม่แต่งงานอีก จนกว่าจะได้พบผู้หญิงที่สามารถจะผูกมัดเขาไว้ได้ทั้งใจและกาย
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นที่คิด เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว ตลอดเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา เขาต้องคอยปฏิเสธข้อเสนอเพื่อการแต่งงานกับลูกสาวเพื่อนบ้านที่เป็นชาวไร่ด้วยกันอยู่ตลอดเวลา
และแล้ว... ภายหลังจากที่ได้สนทนากับสโลน สจ๊วตเพียงแค่ช่วงสั้นๆ เขาก็ได้พบสิ่งที่ตนเองกำลังแสวงหาอยู่ เธอเป็นคนมีสมอง มีกำลังใจที่เข้มแข็งซึ่งท้าทายเขาอย่างมากเขาเคยจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มกลมโตคู่นั้น แล้วก็ได้พบว่า ลึกลงไปในดวงตามีเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงกว่าที่มีในผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายคน ครุซบอกกับตัวเองว่า ในที่สุด เขาก็ได้พบกับผู้หญิงคนที่เขาพร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกับเธอแล้ว
มันเป็นประสบการณ์อันน่าสะทกสะเทือนยิ่งที่ได้พบว่า ผู้หญิงคนที่เขาต้องการจะได้มาเป็นภรรยานั้น ได้มอบทั้งจิตใจและร่างกายให้กับน้องชายของเขาไปแล้ว...เขายอมรับว่าเขาอิจฉาโตนิโย่มาก...!
เมื่อเขาได้เห็นความเจ็บปวดของสโลน ยามที่เธอต้องรับรู้ในความทรยศของโตนิโย่ มันทำให้เขาบังเกิดความโกรธเกลียดน้องชายที่ปล้นความสาว ความอ่อนต่อโลกของเธอไป
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาเข้าใจดีถึงความเข้มแข็งในจิตใจของสโลน ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาชื่นชมในตัวเธอที่ทำให้เธอยังอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เข้าใจถึงความต้องการเป็นอิสระ หรือความต้องการที่จะแสดงบทบาทแบบผู้ชาย หรือแม้แต่การที่เธอปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเมื่อเขาพร้อมที่จะยื่นมือออกไปปกป้องคุ้มครองเธอในฐานะของสามี
แต่เขาได้สร้างความเชื่อขึ้นกับตัวเอง ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขากับสโลนได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาและเมื่อเธอมีลูกกับเขาแล้ว ปัญหาต่างๆ ย่อมจะคลี่คลายไปได้ตามธรรมชาติของมันเอง เขาบอกกับตัวเอง ว่าอีกไม่นาน เขาจะต้องพิสูจน์ความเชื่อนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ให้ได้