บทที่ 3
หลังจากเวลาผ่านไปเป็นปี ขณะที่ครุซพยายามติดตามควานหาตัวอะลีจันโดรอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้นเขารักษาคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเธอ เลี้ยงดูลูกชายของเธอราวกับเป็นลูกชายของเขาเอง
และบัดนี้ เวลาที่รอคอยอันยาวนานที่สิ้นสุดลง ครุซหาตัวอะลีจันโดรจนพบ ซึ่งแน่นอนที่บุรุษหนุ่มชาวสเปนผู้องอาจย่อมต้องการให้เธอรักษาคำมั่นที่ได้ให้ไว้กับเขาด้วย
สโลนรู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่อาจปฏิบัติตามคำมั่นนั้นได้ด้วยเหตุผลบางประการที่เธอไม่อาจอธิบายให้เขาเข้าใจ
เธอถึงกับสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงครุซที่ดังขึ้นข้างตัวปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความคิด
“ผมควรจะฆ่ามันตอนที่มีโอกาส...”
“กฎหมายจะจัดการกับคนที่ฆ่าโตนิโย่เอง” เธอพูดเสียงเบา
“กฎหมายจะทำได้ก็ต่อเมื่ออะลีจันโดรยังถูกขังอยู่ในคุกจนกระทั่งถึงเวลาที่เอาตัวมันไปแขวนคอเท่านั้น”
คำตอบของเขา ทำให้สโลนรู้สึกเย็นวาบไปทั่วไขสันหลัง
“นี่คุณคงไม่ได้หมายความว่าเขาจะหนีไปได้หรอกนะคะ... ก็เขาถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนทั้งมือทั้งเท้าขนาดนั้นแล้วก็ยังมีทหารเท็กซัสคุมตัวอยู่ด้วย”
“ไอ้หมอนี่มันเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย รู้จักใช้คำพูดลวงล่อมากมาย ไม่อย่างนั้นมันคงไม่รอดอยู่ข้างนอกได้นานถึงขนาดนั้นหรอก นอกจากนั้นก็อาจจะมีคนที่คอยให้ความช่วยเหลือมันด้วย”
“แต่ว่า... ”
ครุซยกมือขึ้นเสยผม สีหน้าครุ่นคิดเมื่อกล่าวว่า
“มันก็จริงอย่างที่คุณพูด ผมกังวลไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ถึงยังไงพรุ่งนี้มันก็ต้องถูกแขวนคออยู่แล้ว”
“ฉันคงไม่อยู่ดูการแขวนคอหรอก” สโลนบอก “ก่อนมาฉันทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างหมดทั้งที่อยู่กลางฤดูเก็บเกี่ยวฝ้ายฉันหมายถึงว่า... พอได้รับจดหมายของคุณบอกว่าทางการจับตัวอะลีจันโดรได้แล้วฉันก็มาเลย หน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะผู้จัดการมันรอไม่ได้ และเท่าที่ผ่านมาฉันก็นอนฝันร้ายมานานพอแล้ว ไม่ต้องการเติมอีกคืนหนึ่งหรอก”
“ทุกวันนี้...ตอนกลางคืนคุณยังมองเห็นหน้าโตนิโย่อยู่อีกหรือ ซีเบลลีน่า?”
คำถามนั้นทำให้สโลนหันขวับมามองหน้าเขาทันทีเธอพยายามลดเสียงให้เบาลงไว้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
“อย่าได้เอ่ยชื่อโตนิโย่ให้ฉันได้ยินอีก แล้วก็อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นเพราะฉันไม่ใช่หวานใจของคุณ จำไว้นะครุซ... จำไว้ว่าฉันไม่มีวันเป็นหวานใจของคุณหรอก”
ครุซเอื้อมมือมาคว้าเอวของเธอไว้ด้วยความเร็วอย่างที่สโลนเองก็คาดไม่ถึง เขายกร่างเธอลอยขึ้นจากพื้นเหวี่ยงให้ลงยืนในซอยเล็กๆ ที่อยู่ข้างตัวอาคารและตรึงร่างเธอไว้ด้วยท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
สโลนมองเห็นความดุร้ายที่ฉายแสงอยู่ในแววตาคู่สีฟ้าของครุซ เห็นความกร้าวกระด้างที่ฉาบอยู่บนใบหน้าที่บ่งบอกเชื้อสายผู้ดีของเขา เห็นปลายคางที่มีรอยผ่าเป็นแนวอยู่ตรงกลาง ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย
ไม่มีผู้ใดจะกล้าท้าทายความองอาจของบุรุษชาตินักรบชาวสเปนผู้กำลังเกาะกุมตัวเธอไว้ในยามนี้ เธอได้เห็นทั้งพลังอันเข้มแข็งห้าวหาญ ได้เห็นความมั่นคงเด็ดเดี่ยวและได้เห็นแววแห่งความรักที่ปราศจากข้อสงสัย
“แล้วคุณหวังอะไรจากผม ซีเบลลีน่า?” ฝ่ามือที่สั่นระริกด้วยการควบคุมอารมณ์ไว้อย่างสุดความสามารถลูบไล้ปอยผมบนหน้าผากอยู่ ขณะเรียกเธอด้วยชื่อเล่นภาษาของเขา
สายตาของเขาโลมไล้ไปทั่วใบหน้ารูปหัวใจ สังเกตเห็นดวงตาคู่สีน้ำตาลกลมโตที่มีคิ้วเข้มเป็นกรอบ จมูกโด่งเป็นสันที่ค่อนข้างสั้น โหนกแก้มที่ลาดลงสู่ปลายคางเชิดที่บ่งบอกถึงความมั่นใจในตนเอง และในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงเรียวปากอวบอิ่มสีชมพู
“ผมรอเวลาที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเอง จนกระทั่งถึงวันที่ฆาตกรที่ฆ่าโตนิโย่ถูกศาลตัดสินแล้ว เวลาที่เฝ้ารอคอยมันนานถึง 4 ปีทีเดียวนะ ซีเบลลีน่า”
“ผมรักษาสัญญาที่เราได้ให้ต่อกัน ตอนที่คุณมาหาผมขณะที่อุ้มท้องลูกของน้องชายผมอยู่ คุณมาเพื่อขอให้ผมช่วยผมรับลูกของโตนิโย่จากมือคุณตอนที่แกเกิดแล้วก็เอาแกไปอยู่ที่แรนโช โดโลรอสซ่า เลี้ยงดูแกเหมือนกับเป็นลูกแท้ๆ ของผม... ”
“หลายต่อหลายครั้งที่ผมอยากจะให้คุณรับรู้ถึงสิ่งที่จิตวิญญาณของผมเฝ้าโหยหา... แต่ผมก็ไม่เคยขอร้องอะไรจากคุณเลย ไม่ว่าร่างกายของผมจะหิวโหยสักแค่ไหน ผมก็ไม่เคยคิดจะรอนสิทธิ์คุณ ผมเฝ้ารอ... ขณะที่รอผมก็เฝ้าตามล่าไอ้ฆาตกรที่มันฆ่าน้องชายผมไปด้วย...”
“เมื่อมาถึงวันนี้ ผมอยากให้คุณรักษาสัญญาตามที่เราได้ตกลงกันไว้ ผมต้องการให้คุณเป็นเมียผม ซีเบลลีน่า และผมจะต้องได้คุณมา ไม่ว่าคุณจะเฝ้าเห็นแต่ใบหน้าน้องชายผมหรือไม่ก็ตาม...!”
เมื่อพูดจบ ปากของเขาก็ประทับลงบนเรียวปากของสโลน สัมผัสนั้นบ่งบอกถึงความต้องการ ไรฟันของเขาขบลงบนผิวเรียวปากทำให้เธอได้ลิ้มรสเลือด มือที่เป็นอิสระลูบไล้เรือนร่างของเธออยู่
สโลนสัมผัสความปั่นป่วนที่บังเกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ ริมฝีปากของเธอดูจะนุ่มนวลลงเมื่ออยู่ใต้ริมฝีปากของเขา สัมผัสความรู้สึกยามที่ปลายลิ้นสอดแทรกเข้าไปในช่องปาก และสะโพกของเขาที่เคลื่อนไหวแนบสนิทอยู่กับหน้าท้องของเธอ มันก่อความรัญจวนใจให้เกิดขึ้นเมื่อรับสัมผัสแห่งปรารถนาจากเขา
แต่เธอจะยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินอยู่ต่อไปไม่ได้ เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องตกเป็นเครื่องมือของผู้ชายคนไหนอีก ความคิดดังกล่าวทำให้เธอผลักอกครุซเต็มแรง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ให้เขาถอนริมฝีปากออกเท่านั้น
“หยุดนะ... ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้...!” เธอดันร่างเขาไว้ “ฉันไม่ต้องการคุณ... และจะไม่มีวันต้องการด้วย คุณเองก็จะมาต้องการฉันไม่ได้ ลืมไปแล้วหรือว่าฉันมันก็แค่นางบำเรอของน้องชายคุณไงล่ะ?”
ครุซปล่อยมือจากเธอทันที ดวงตาคู่สีฟ้าเข้มขึ้นด้วยความขุ่นเคือง เส้นเลือดตรงลำคอปูดโปน มือทั้งสองข้างกำแน่น
“อย่าได้เรียกตัวเองว่าเป็นนางบำเรอของน้องชายผมอีก เข้าใจไหม?”
สโลนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเขายกมือขึ้นเพราะคิดว่าเขาจะตบหน้าเธอ แต่เธอก็ยังยืนตัวตรงอยู่กับที่รอเวลาอยู่เธอเป็นลูกสาวของริพ สจ๊วต มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกตบหน้าด้วยความโกรธ เธอไม่ใช่คนขี้ขลาดเพราะฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าเธอจะวิ่งหนี
ทว่าอุ้งมือที่กำแน่นนั้นกลับคลายออก และฝ่ามือที่หยาบกร้านก็ลูบไล้ลงบนโหนกแก้มที่แต่งแต้มด้วยจุดกระ
“คุณเกลียดผมมากนักหรือ ซีเบลลีน่า?”
“ฉันไม่เคยเกลียดคุณเลย”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงต่อต้านผมนักล่ะ?”
“ ฉันไม่มีวันจะรักคุณได้หรอกครุซ ถ้าเราแต่งงานกันจริงๆ มันก็ยิ่งจะทำให้ชีวิตของเราหมดความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
“ผมจะเป็นคนตัดสินเองว่าอะไรที่จะทำให้ผมมีความสุขได้”
“แล้วคุณจะตัดสินด้วยไหมล่ะว่าอะไรที่จะทำให้ฉันพอใจ?”
“คุณก็เพียงแค่บอกให้ผมรู้เท่านั้นว่าคุณอยากจะให้ผมทำอะไร ผมก็จะจัดการให้ทันที ว่าแต่... คุณต้องการอะไรล่ะ ซีเบลลีน่า?”
“ฉันไม่ต้องการ... ไม่จำเป็นจะต้องมี... สามี”
เขาเม้มริมฝีปาก โหนกแก้มแดงเรื่อขึ้น
“จะยังไงก็ตาม เมื่อไอ้อะลีจันโดรถูกแขวนคอแล้วคุณจะต้องปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับผม... คุณจะต้องเป็นเมียผม”
“ฉันจะกลับไปอยู่ทรี โอ๊คส์... ครุซ”
“คุณไปได้ แต่รับรู้ไว้ด้วยว่า เมื่อใดก็ตามที่ไอ้ฆาตกรที่มันฆ่าน้องชายผมถูกแขวนคอเรียบร้อย ผมจะไปเอาตัวคุณมา”
“ตอนนี้ฉันเห็นจะต้องขอตัวก่อน ฉันอยากจะไปที่กองบัญชาการทหารก่อนกลับ”
“มีปัญหาอะไรที่ทรี โอ๊คส์ยังงั้นหรือ?” ครุซถาม
“ฉันเพียงแต่อยากจะไปขอบใจลุค ซัมเมอร์ ที่มีส่วนในการช่วยติดตามจับตัวอะลีจันโดรด้วยเท่านั้น” เธอตอบ รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอย่างบอกไม่ถูก กับการที่เขาเหมาเอาว่าด้วยคำมั่นสัญญาที่เธอได้ให้ไว้นั้น ทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะรู้เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเธอทุกอย่าง