บทที่ 2
เธอไม่อยากนึกไปถึงความปีติสุขที่เกิดขึ้นในตอนแรก เมื่อได้รู้ว่าเธอตั้งครรภ์ลูกของโตนิโย่ ไม่อยากนึกถึงตอนที่เธอทาบฝ่ามือลงกับหน้าท้องด้วยความรู้สึกที่ว่า บัดนี้มีทารกคนหนึ่งที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในนั้น ที่จริงเธอควรจะนึกรู้ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ ว่ามันมีอะไรบางสิ่งที่ผิดปรกติอยู่ ทั้งนี้เพราะโตนิโย่ไม่ได้เอ่ยออกมาเลยว่าเขาจะแต่งงานด้วย ภายหลังจากที่เธอบอกให้เขารู้ว่าเธอตั้งท้องลูกของเขาแล้ว
“เราคงจะต้องรอไปอีกหน่อยนะ ชิควิต้า” เขาบอก “ยังมีเวลาอีกถมไปที่เราจะแต่งงานกันแล้วก็ตั้งชื่อให้ลูก”
แน่ละ... เขาไม่ได้คิดจะแต่งงานกับเธอเสียด้วยซ้ำชีวิตของเธอพังทลายลงทันทีเมื่อได้รู้ว่าเขาคืออาชญากรขายชาติและต่อมาก็ถูกสังหารโดยคนของเขาเอง... ซึ่งก็คืออะลีจันโดร ซานเชส ทั้งหมดนั้นย่อมหมายความว่า เธอจะต้องแบกรับความเศร้าเสียใจกับการตายของเขา ความตระหนกที่ได้รับรู้ว่าเขาคือผู้ทรยศและความอับอายขายหน้าที่ต้องท้องลูกไม่มีพ่อแต่เพียงผู้เดียว
มันแทบไม่ต้องใช้เวลาเลยสำหรับความเศร้า ความตระหนกและความอับอายที่จะเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นและความสุดสิ้น เธอเฝ้าครุ่นคิดหาทางออกให้กับเรื่องนี้ชั่งน้ำหนักทุกรายละเอียดข้อมูล ดูเหมือนมันจะมีทางออกอยู่เพียงทางเดียวที่มีเหตุผลและมีความเป็นไปได้มากที่สุด นั่นก็คือ เธอจะไม่เก็บลูกของโตนิโย่ไว้
เธอทั้งเจ็บใจและคั่งแค้นกับสิ่งที่โตนิโย่ได้กระทำลงไป จึงไม่คิดว่าตัวเองจะรักลูกที่เกิดจากผู้ชายคนนั้นได้ แม้แต่จะทำเป็นไม่สนใจไยดีก็ตาม เธอกลัวว่าจะต้องประณามลูกจากบาปที่พ่อของแกได้ก่อขึ้นไว้ กลัวความอาฆาตแค้นที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เธอคิดถึงโตนิโย่และกับลูกไม่มีพ่ออันเป็นภาระที่เธอจะต้องแบกรับตลอดไป
เพื่อเห็นแก่ทารกผู้ไร้เดียงสา เธอจึงติดตามหาครุซซึ่งเป็นพี่ชายของโตนิโย่ จนในที่สุดก็บรรลุข้อตกลงระหว่างกันได้
สโลนถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าอยู่ไปมา ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองได้กระทำในสิ่งที่ทำลงไปแล้ว เธอโทษว่าการตัดสินใจในข้อตกลงนั้นเป็นผลที่เนื่องมาจากอารมณ์ที่สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ติดมากกว่า เธอยังจำสายตาที่งงงันของครุซได้ดีตอนที่เธอบอกเขาว่าเธอต้องการจะทำอะไร
“คุณจะยกลูกให้คนอื่นยังงั้นเรอะ?” เขาร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ถ้าฉันเก็บลูกของโตนิโย่ไว้ มันจะเป็นเครื่องเตือนความทรงจำที่เลวร้ายอยู่ตลอดเวลา” เธอตอบออกไป
“แต่เมื่อถึงเวลา ความทรงจำทั้งหลายแหล่นั่นมันก็จางหายไปเองนั่นแหละ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นเธออาจจะอยากให้ลูกชายหรือลูกสาวก็ตาม...”
“ฉันจะไม่มีวันลืมโตนิโย่...ไม่มีวันลืมสิ่งที่เขาทำ...”
“ก็แปลว่าคุณรักเขาน่ะสิ” ครุซพูดเสียงกระด้าง
“ใช่” เธอยอมรับ “ฉันรักเขายิ่งกว่าชีวิตฉันเสียอีก” หางเสียงในตอนท้ายแทบไม่ต่างไปกว่าเสียงกระซิบเพราะความรักนั่นหรือมิใช่ที่ทำให้การทรยศของเขาสร้างความเจ็บปวดร้าวรานให้กับเธอยิ่งนัก เพียงแต่ครุซไม่รู้เท่านั้น ว่าความรักที่เธอมีต่อน้องชายของเขานั้นมันได้มอดดับลงพร้อมกับการตายของโตนิโย่แล้วเท่านั้น
เธอเฝ้าจับตามองขณะที่ครุซเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเครียดเคร่งเมื่อเขาเอ่ยถึงการตัดสินใจของตัวเองออกมา
“ก็ได้ ผมจะรับเด็กไว้เอง แต่เขาจะต้องมีชื่อสกุลด้วย”
“คุณอยากเรียกว่าอะไรก็เชิญตามสบาย” เธออยากให้เรื่องจบลงเร็วๆ เหลือเกิน
“ลูกของน้องชายผมก็ควรจะได้ใช้ชื่อสกุลตามเขา”
“ถ้าคุณอยากจะเรียกแกว่าอันโตนิโย่...”
“คุณเข้าใจผิดถนัด” ครุซขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงกร้าวกระด้าง “ครอบครัวผมมาจากตระกูลขุนนางสเปน ลูกของน้องชายผมจะต้องใช้สกุลเควอเรโร่”
สโลนนึกไม่ถึงว่ามันจะมีความยากลำบากเกิดขึ้นกับแผนการที่เธอวางขึ้นไว้ รู้สึกปวดร้าวในลำคอขึ้นมาจนแทบกลืนน้ำลายไม่ลง
“ถ้าคุณอยากจะรับเด็กไปเป็นลูกบุญธรรมฉันก็ยินดีนะ”
“นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของผม”
เธอสัมผัสความอุ่นจากปลายนิ้วของครุซ เมื่อเขาเชยคางบังคับให้เธอประสานสายตาอยู่กับเขา ดวงตาคู่สีฟ้านั้นเข้มขึ้นด้วยแรงอารมณ์บางอย่างที่เธอไม่ต้องการรับรู้ เขาไม่สมควรจะมามารู้สึกเช่นนั้นกับเธอ โดยเฉพาะเมื่อเธอเป็นเมียของน้องชาย อะไรที่เธอรับไม่ได้เธอจะต้องมองข้ามเสีย แต่สายตาของเขาราวตรึงเธอไว้ เมื่อเอ่ยออกมาว่า
“การที่ผมพูดว่าลูกของน้องชายผมจะต้องใช้ชื่อสกุลเควอเรโร่ นั่นหมายความว่าคุณจะต้องเป็นเมียผม”
“จะบ้าหรือไง?” เธอร้องพร้อมกับปัดมือเขาออก
“เปล่าเลย... ถ้าคุณต้องการให้ผมรับเด็กไว้แล้วก็เลี้ยงให้เหมือนลูกของตัวเอง คุณก็ต้องแต่งงานกับผม”
“นี่มันแบล็คเมล์กันชัดๆ เลยนะ...ฉันไม่มีวันยอมทำหรอก”
“งั้นคุณก็ต้องไปหาทางแก้ปัญหาเอาเอง ซินยอริต้าสโลน”
บุรุษหนุ่มชาวสเปนผู้มีเรือนร่างสูงสง่าหันหลังให้แล้วก่อนที่เธอจะทันหาเสียงตัวเองพบ
“เดี๋ยว... ฉันคิดว่า มันยังมีทางอื่นที่เราจะแก้ปัญหานี้ได้นะ”
เขาเพียงเอี้ยวหน้ามามอง แววในดวงตาบอกความตั้งใจที่มุ่งมั่น
“ผมเสนอเงื่อนไขการรับเด็กไปแล้ว”
ท่าหยิ่งผยองของเขายั่วยุอารมณ์เธอให้เดือดพล่านต้องบีบมือตัวเองไว้แน่นด้วยเกรงจะตบหน้าเขา สโลนพยายามสงบระงับอารมณ์อย่างยากลำบากแม้จะรู้ว่า มันจะสะใจเพียงใดถ้าฝ่ามือได้สัมผัสใบหน้าเขาสุดแรงเกิดก็ตาม แต่มันก็เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์อยู่ดี เธอรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางที่จะหันหน้าไปหาใครได้อีกแล้ว
“ก็ได้... ฉันแต่งงานกับคุณก็ได้” แต่ก่อนที่เขาจะยิ้มอย่างผู้ได้รับชัยชนะออกมา เธอก็กล่าวต่อว่า “แต่มันจะเป็นการแต่งงานแต่ในนามเท่านั้นนะ ฉันไม่มีวันมาอยู่ร่วมกับคุณหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าเป็นการแต่งงานที่ถูกต้องน่ะสิ ซินยอริต้า”
“ฉันไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นการแต่งงานที่ถูกต้องหรือไม่ นี่ฉันพยายามประนีประนอมกับคุณอย่างที่สุดแล้วนะ”
“เมื่อคุณเป็นเมียผม คุณก็จะต้องอยู่กับผม” ครุซประกาศด้วยน้ำเสียงแสดงอำนาจ
“ถ้าฉันแต่งงานกับคุณฉันจะอยู่ที่ทรี โอ๊คส์” เธอโต้กลับไปทันที
“เห็นจะไม่ได้ เพราะทำอย่างนั้นมันยิ่งทำให้เรามีลูกอย่างที่ผมอยากมีไม่ได้หนักเข้าไปอีก”
คำพูดของเขาทำให้สโลนหน้าแดงก่ำ
“ฉันไม่มีวันอยู่กับคุณหรอก”
“งั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องตกลงกัน...!”
อีกครั้งหนึ่งที่สโลนถูกบังคับให้ยับยั้งเขาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิ...”
“แปลว่าคุณยอมตกลงใช่ไหม?”
สโลนจำเป็นต้องใช้ความคิดอย่างรวดเร็วเพื่อหาวิธีที่จะหลีกเลี่ยงให้จงได้ ความคิดหนึ่งวาบขึ้นในสมอง
“ฉันตกลงที่จะแต่งงานกับคุณ แต่ฉันจะใช้ชีวิตร่วมกับคุณก็ต่อเมื่ออะลีจันโดร ซานเชส ถูกจับตัวมาขึ้นศาลแล้วเท่านั้น”
“สีหน้าของครุซเครียดเคร่งด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ
“ไอ้ฆาตกรที่มันฆ่าน้องชายผมน่ะ ไม่มีใครจับตัวมันได้หรอก”
“ฉันรู้” สโลนตอบ “แต่ว่านี่ละเงื่อนไขของฉัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเดียวกันกับตอนที่เขายื่นเงื่อนไขให้กับเธอ
“ผมตกลงตามข้อเสนอของคุณก็ได้” ครุซว่า “ถ้าเช่นนั้นเราก็จะแต่งงานกันตอนนี้เลย พอเด็กเกิดผมก็จะรับมาเลี้ยงให้เหมือนกับเป็นลูกของตัวเองเลย สำหรับตอนนี้เราจะแต่งงานกันเพียงในนามเท่านั้น เราจะรอเวลาจนกว่าอะลีจันโดรจะถูกนำตัวขึ้นศาล”
สโลนเห็นชัดอยู่ตอนที่จับมือกับครุซเพื่อกระชับคำมั่นสัญญา ว่าเขาตั้งใจอย่างยิ่งที่จะควานหาตัวอะลีจันโดรให้ได้ในเร็ววัน แต่โชคยังเข้าข้างเธออยู่ เพราะแม้เวลาจะผ่านไปนานมากแต่อะลีจันโดรก็ยังไม่ถูกจับ และเธอก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่ทรี โอ๊คส์ต่อไป