บทที่ 1
ในความฝันนั้น ริพ สจ๊วตมองเห็นภาพลูกชายวัยหนุ่มทั้ง 3 ของเขา ต่างทำงานอาบเหงื่ออยู่เคียงกาย ยามที่ไร่ฝ้ายริมฝั่งแม่น้ำบราซอสกำลังให้ผลผลิตเต็มที่ โดยความเป็นจริงเขาตั้งชื่อลูกชายทั้ง 3 คนนี้ไว้ก่อนหน้าที่จะแต่งงานกับเอมิเลียเสียด้วยซ้ำ การที่เขาเลือกแต่งงานกับหญิงสาวผู้นี้ ก็เพราะหล่อนเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวชาวสก็อตต์ที่มีลูกแข็งแรงถึง 7 คน
ลูกชายคนแรกของเขาจะต้องชื่อสโลน... สโลนจะต้องเป็นลูกที่ทั้งแข็งแรงและกล้าหาญ เปี่ยมด้วยความทระนงเป็นทายาทที่จะสามารถทำหน้าที่แทนริพได้... ต่อมาคือเบย์เลจ์ซึ่งจะต้องเป็นลูกชายที่เอางานเอาการ ไว้ใจได้ จะต้องได้รับการศึกษาอย่างดี จะต้องได้รับการอบรมให้รู้จักการรับผิดชอบมีความซื่อสัตย์เพื่อที่จะได้เป็นผู้ช่วยที่ดีของพี่ชายต่อไป ส่วนลูกชายคนสุดท้องของริพจะต้องชื่อเครจตัน... เป็นลูกชายตัวเล็กๆ ที่เขาจะเอาไว้เป็นเพื่อนเล่น เป็นคนเดียวที่เขาจะทุ่มเทความรักให้จนหมดหัวใจก็ว่าได้ เครจตันน่าจะเป็นคนอารมณ์ร้อน พูดจาโผงผาง และลูกคนนี้แหละที่จะเป็นคนเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างจากรัฐบาลแล้วก็จะได้ในสิ่งที่เรียกร้องนั้นด้วย...
น่าเสียดายและเสียใจอย่างยิ่ง ที่เอมิเลียให้แต่ลูกสาวถึง 3 คนกับริพ ทว่าก็ไม่ได้ทำให้ริพหวั่นไหวหรือเปลี่ยนแปลงความตั้งใจแต่อย่างใด เขายังคงตั้งชื่อลูกสาวคนแรกว่าสโลน คนที่ 2 ว่าเบย์เลจ์และคนสุดท้องว่าเครจตันอยู่ดี หลังจากนั้นเขาก็ลงมือวางแผนที่จะให้ความฝันของเขากลายเป็นความจริงขึ้นมาให้ได้…
“เฮ้...ดอน ครุซ... ข้าเห็นอยู่กับตาเลยนะเนี่ย... ว่าแกเอานังบำเรอของน้องชายมาทำเมีย ถามหน่อยเถอะวะนังนี่มันร้อนแรงเหมือนที่ไอ้อันโตนิโย่มันโม้หรือเปล่าวะ...?”
“หุบปากได้แล้ว อะลีจันโดร ไม่ยังงั้นข้าเป็นตัดลิ้นแกแน่...”
สโลน สจ๊วต ซีดเผือดไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำตอบโต้อันบ่งบอกถึงความอาฆาตมาดร้ายระหว่าง จอมโจรเม็กซิกันที่ถูกพันธนาการไว้ทั้งมือและเท้า กับบุรุษเชื้อสายสเปน ผู้มีเรือนร่างสง่างามและกำลังยืนเคียงข้างเธออยู่ภายในคุกซาน อันโตนิโอที่แทบไม่มีอากาศให้หายใจ ทั้งยังอบอวลด้วยกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ความรู้สึกอับอายที่ถูกหยามหยันทำให้กล้ามเนื้อตึงขึ้นทั้งหน้า ขณะที่เธอพยายามสกัดกั้นคำปฏิเสธไม่ให้หลุดลอดออกมา แต่ถ้าสามารถทำได้เธอจะใช้คำพูดอะไรเป็นการแก้ตัว...?
เธอไม่อาจปฏิเสธได้เลย... ว่าไม่เคยเป็นคู่รักของอันโตนิโย่ เควอเรโร่มาก่อน ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังได้ให้กำเนิดลูกชายซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของโตนิโย่อีกด้วย ขณะเดียวกันเธอก็ไม่อาจปฏิเสธว่าครุซ พี่ชายของโตนิโย่ก็มีความปรารถนาในตัวเธอ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาได้ใช้ความพยายามที่จะเป็นเจ้าของเธอให้ได้เพียงแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่มันเป็นอะไรบางอย่างที่น่าชิงชังรังเกียจอย่างมาก ที่ได้ยินใครบางคนพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่น้องสองชายออกมาแบบนั้น
เธอเอื้อมไปจับแขนครุซ สัมผัสกล้ามเนื้อที่ถึงเขม็งด้วยอารมณ์แรงแบบสัตว์ร้ายที่เกิดอยู่ แม้เขาจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ทันสมัยก็ตาม
ลำแสงที่ผ่านช่องแคบๆ เข้ามาตกต้องลงบนกำไลมือที่ทำด้วยเงินประดับเทอควอยซ์ที่อะลีจันโดรสวมใส่อยู่ ทำให้สโลนต้องหันไปให้ความสนใจกับผู้ชายคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าอีกครั้ง
“คุณแน่ใจหรือว่าผู้ชายคนนี้คือคนร้ายที่ฆ่าโตนิโย่เมื่อสี่ปีก่อน” เธอถามครุซ
“ใช่แน่”
“ไอ้อันโตนิโย่ เควอเรโร่มันทั้งทรยศแล้วก็ยังเป็นไอ้หน้าโง่ด้วย” เสียงอะลีจันโดรดังลั่นขึ้นอีก “ถ้าข้าไม่ฆ่ามันทหารเท็กซัสก็ต้องจับมันแขวนคออยู่ดี ฐานที่มันวางแผนร่วมกับรัฐบาลเม็กซิกันเพื่อล้มล้างรัฐบาลสหรัฐฯ”
“แกนั่นแหละที่กำลังจะถูกแขวนคอ อะลีจันโดร ถ้าไม่ใช่ข้อหาที่ฆ่าน้องชายของข้า ก็ข้อหาที่ปล้นวัวควายรวมทั้งม้าของข้า แล้วก็ยังข่มขืนผู้หญิงในหมู่บ้านข้าด้วย”
ดวงตาของจอมโจรเป็นประกายวาบวับอยู่ในห้องคุมขังที่มีเพียงแสงสลัว
“ข้าขอปฏิเสธทุกข้อหา... นอกจากเรื่องเดียวเท่านั้น... ข้ายอมรับว่ะ ว่าเวลาที่ได้ชำแรกเข้าไปในเนื้อสาวนี่มันช่างสุขสุดยอดจริงๆ” สายตาคู่นั้นจับอยู่ที่ใบหน้าสโลนก่อนจะเสริมว่า “แต่ดูเหมือนแกจะไม่พิถีพิถันเรื่องนี้เท่าไหร่อยู่แล้วนี่ จริงไหมล่ะ ดอน ครุซ?”
“หุบปาก...!” ครุซกัดกรามแน่น
สโลนถอยห่างออกจากสายตาและวาจาหยาบคายที่อะลีจันโดรกำลังสำรอกใส่หน้าอย่างไม่รู้ตัว เมื่อสัมผัสร่างของชายหนุ่มที่ยืนเยื้องอยู่ข้างหลัง เธอก็ยืดไหล่ขึ้นพร้อมกับบอกเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสงบว่า
“ฉันได้เห็นสิ่งที่ต้องการเห็นแล้ว เรากลับกันเถอะ”
อะลีจันโดรผงกหัวอย่างหยันเยาะให้
“อะดิโอส ปูต้า... จนกว่าเราจะพบกันนะ”
สโลนรู้สึกสยดสยองกับรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้ากระดูกของอะลีจันโดร แววตาที่ไร้ปรานีราวจะเปลื้องเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากเรือนกาย เผยให้เห็นทั้งเนินทรวงอวบอิ่มที่เขากำลังใช้สายตาคลึงเคล้า เรื่อยลงมายังช่วงเอวที่คอดกิ่วสะโพกผายและต้นขาที่อะลีจันโดรกำลังใช้สายตาเสพย์สังวาสอย่างหยาบคาย
เธอถึงกับหลับตาลงเพื่อปิดกั้นภาพนั้น ภาพที่เขากำลังข่มขืนเธอเสีย แต่เสียงหัวเราะเริงร่าของอะลีจันโดรทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง ขนลุกพราวไปทั้งตัวเมื่อเห็นสายตาที่โลมไล้ไปทั่วเรือนร่าง
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่อยู่รอจนใครมาแขวนคอข้าได้หรอก” อะลีจันโดรกล่าวราวให้สัญญา “ข้าหนีแน่ เหมือนที่ข้าหนีทหารหน่วยเท็กซัส แรงเยอร์ของเท็กซัสเมื่อสี่ปีมาแล้วนั่นแหละ ถ้าข้าหนีได้สำเร็จเมื่อไหร่ รับรองว่าข้าต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ที่ไอ้อันโตนิโย่มันโม้เรื่องนังบำเรอของมันไว้น่ะเป็นความจริงหรือเปล่า”
สโลนไม่หยุดรอฟังอีกต่อไป ว่าครุซจะตอบโต้กับวาจาสามานย์ของเจ้าจอมโจรคนนั้นต่อไปอย่างไร เธอรีบรุดออกมาจากคุกที่คุมขังอาชญากร ซึ่งมีตั้งแต่พวกฆาตกรไปจนกระทั่งพวกลักเล็กขโมยน้อย ออกมาหยุดอยู่ตรงจตุรัสกลางเมืองซาน อันโตนิโอ ท่ามกลางแสงแดดร้อนแรง ต้องเอามือยันไว้กับผนังอิฐของตัวอาคาร ต่อสู้กับอาการวิงเวียนที่เกิดอยู่
เธอสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไว้เพื่อชำระล้างรูจมูกที่สูดแต่กลิ่นเหม็นภายในคุกแห่งนั้นมาเป็นเวลานาน แม้ว่ากลิ่นไอภายนอกนี้จะไม่น่าชื่นชมนักแต่ก็ไม่ถึงกับจะน่ารังเกียจ มันเป็นกลิ่นที่ประสมประสานอยู่ระหว่างกลิ่นอาหาร กลิ่นมูลม้าขณะเดียวกันก็ยังมีเถากุหลาบป่าที่กำลังออกดอกพราวเลื้อยคลุมอยู่บนผนังคุก กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นคละเคล้าอยู่กับกลิ่นเหงื่อและกลิ่นสาบม้า
สโลนตัวแข็งไปในทันทีเมื่อเห็นหญิงชาวสเปนคนหนึ่งเดินผ่านมาพร้อมกับจูงลูกชายผมดำตัวน้อย นุ่งกางเกงขาสั้นตามมาด้วย แวบหนึ่งที่สโลนคิดไปว่า ผู้หญิงคนนั้นคือโดน่า ลูเซีย แม่ของครุซที่กำลังจูงซิสโค่ ลูกชายวัย 3 ขวบของเธออยู่
แต่ไม่ใช่...
สโลนทิ้งร่างพิงกำแพงอีกครั้ง กลัวเหลือเกินว่าขาจะไม่อาจรับน้ำหนักตัวต่อไปได้ขณะที่ความทรงจำเกี่ยวกับโตนิโย่... เรื่องการตั้งครรภ์และการให้กำเนิดลูกชายถาโถมเข้ามา...
เธอนึกไม่ออกว่าทำไมตัวเองจึงหลงใหลในเสน่ห์ของอันโตนิโย่ เควอเรโร่ เดาเอาว่าอาจเป็นเพราะรอยยิ้มของเขา มันเป็นยิ้มที่อาบเสน่ห์กดลึกอยู่กับมุมปากข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้างหนึ่ง หรือไม่ก็อาจจะเป็นดวงตาคู่สีดำสนิทที่เป็นประกายวาววับนั่นเองที่จับหัวใจเธอไว้ แต่น่าจะเป็นเสียงพูดของเขามากกว่าที่ทำให้เธอยอมสยบ มันเป็นน้ำเสียงที่หุ้มนุ่มนวลและคล้ายจะเกลี้ยกล่อมจนเธอไม่อาจต้านทานได้
เธอรู้สึกว่าตัวเองเขลามากเมื่อได้ตระหนักว่า ได้ตกหลุมรักโตนิโย่เข้าแล้ว ในฐานะที่จะต้องเป็นทายาทของไร่ทรี โอ๊คส์คนต่อไป เธอได้รับการฝึกฝนอบรมจากริพ สจ๊วตผู้เป็นพ่อ ว่าในการตัดสินใจใดๆ ก็ตาม จะต้องกระทำด้วยความสุขุมรอบคอบและอย่างมีเหตุผล แต่เมื่อเธอหลงรักโตนิโย่อย่างหัวทิ่มหัวตำนั้น มันไม่มีทั้งเหตุผลและความสุขุมรอบคอบเข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยนิด ที่ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เกิด ให้เข้าใจฐานะของตนเอง ว่าจุดหมายปลายทางในชีวิตของเธอนั้นอยู่ที่ทรี โอ๊คส์ ไม่ใช่เป็นภรรยาลูกชายคนเล็กของเจ้าพ่อชาวสเปน...!
เธอไม่กล้าเปิดเผยความลับนี้กับพ่อด้วยเกรงเขาจะคิดว่าเธอเสียสติไปแล้ว เธอจำต้องเก็บงำความคิดต่างๆไว้กับตัวเอง จนในที่สุดความผิดพลาดอย่างฉกาจฉกรรจ์ก็ได้เกิดขึ้น
สโลนลูบรอยกร้านบนฝ่ามือ ยังจำได้ดีว่าโตนิโย่ไม่ชอบมือเธอเลย เธอยื่นมือไปข้างหน้าและจรดจ้องมองดูมันอยู่งานในไร่ฝ้ายเป็นงานสกปรก เล็บของเธอฉีกขาด ทั้งปลายนิ้วและฝ่ามือด้านหยาบ แม้มือของเธอจะเล็กได้รูป ทว่ามันไม่ได้มีความเรียวงามเช่นที่ควรจะเป็นเลย
กระนั้นเธอก็ยังมีหน้าอกและสะโพกที่อวบอิ่ม เป็นเรือนร่างที่ผู้ชายจะต้องชื่นชมถ้าเขาสามารถมองทะลุเสื้อผ้าชุดชาวไร่ที่เธอสวมใส่อยู่เป็นประจำได้ สโลนมองดูรองเท้าบู๊ทที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่น กางเกงที่เปื้อนเป็นรอยด่างดำ วงเหงื่อที่เห็นชัดเจนอยู่ใต้รักแร้ เสื้อกั๊กผ้าฝ้ายที่เส้นด้ายเริ่มขาดรุ่ยร่ายแล้วก็ต้องยิ้มด้วยความเศร้าใจ มันเป็นยิ้มที่บ่งบอกถึงความสมเพชตัวเองเพราะสภาพของเธอในยามนี้มันช่างซอมซ่อเสียเหลือเกิน
เมื่อเช้านี้เธอเกือบไม่ได้ดูกระจุกเสียด้วยซ้ำ แต่ก็พอจะมองเห็นภาพว่าใบหน้าของตัวเองที่น่าจะบอกได้ถึงความรีบร้อนในการเดินทางจากทรี โอ๊คส์มายังซาน อันโตนิโอพวงผมสีน้ำตาลเข้มยาวจรดเอว ถูกรวบรัดไว้ด้วยริบบิ้นยับๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีเหลืองอ่อนอย่างลวกๆ
ในชุดทำงานประจำวันของเธอนั้น มันไม่ได้มีอะไรที่ชวนใจให้หนุ่มหล่อเช่นอันโตนิโย่ เควอเรโร่หลงรักเธอได้อยู่แล้วเธอน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เขาจะต้องมีเหตุผลอื่นที่แฝงเร้นอยู่เบื้องหลังสิ่งที่เขาพูดและกระทำ
สโลนเจ็บใจยิ่งนัก ทุกครั้งที่คิดถึงว่า ผู้ชายคนที่เธอรัก ใช้ความรักที่เธอมอบให้เป็นเครื่องมือ ที่จะทำให้เขาได้ในทุกสิ่งที่ต้องการจากเธอ มันเป็นการกระทำของคนใจดำคนที่คิดคำนวณ แต่ประโยชน์ที่ตนจะได้รับเท่านั้น
เธอยินดีที่จะรับใช้เขาทุกอย่าง และเขาก็ใช้เธอเป็นเครื่องมือในการติดต่อกับรัฐบาลเม็กซิกันเพื่อให้บุกเข้ามาในเท็กซัส เขาใช้ให้เธอถือจดหมายลับไปส่งให้กับผู้ที่สมรู้ร่วมคิดซึ่งเธอยอมทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้โดยไม่เคยคิดสงสัยไต่ถามอะไรจากเขาเลย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเธอทั้งรักทั้งไว้วางใจในตัวเขา ทำไมเธอจึงได้โง่เขลาเบาปัญญาถึงเพียงนี้...?