บทที่ 6 เหตุผลที่ทำให้ใครสักคนคงอยู่
เมื่อแยกจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนจากด้านล่างจนเข้ามาในห้องนอน ฉัตรฉายก็จัดการตัวเองไปตามความเคยชิน ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามอัตโนมัติ แม้ในหัวจะมีเรื่องให้คิดต่างไปจากทุกวัน ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กน้อยคนนั้นยังติดตรึงอยู่...รวมถึงผู้หญิงอีกคน
ฉัตรฉายปฏิเสธที่จะพบและพูดคุยกับผู้หญิงคนนั้นเพราะรู้ว่าหล่อนต้องการอะไร เขาไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่ออีก เกลียดที่สุดกับการที่อยู่ดีๆ ก็มีเรื่องไม่เป็นเรื่องมาถึงตัว
“ตัววุ่นวาย ยุ่งยาก”
เขาหลุดคำออกมาเมื่อความรู้สึกหนึ่งพุ่งขึ้น มองตัวเองในกระจก หยาดน้ำเกาะพราวทั่วใบหน้าและแผงอกกว้างขณะใช้ผ้าเช็ดตัวซับไปอย่างใจเย็น ดวงตาคมจับจ้องภาพสะท้อนของตัวเองนิ่ง แต่ภาพที่เกิดในหัวกลับกลายเป็นอีกคน
“ผ่านไปกี่ปีก็ไม่เปลี่ยน ไม่เคยเปลี่ยน”
ฉัตรฉายเคยเจอผู้หญิงคนนั้น...ญาณิน มันนานมาแล้ว นานถึงหกปี ภาพของนักศึกษาที่มาทำงานพิเศษในงานแฟชั่นโชว์ทำให้เขาสะดุดตากับใบหน้าสวยหวาน หล่อนดูงดงามเกลี้ยงเกลา รูปร่างโปร่งบางหากก็กลมกลึงเปล่งปลั่งเกินวัย
ในวันนั้นคุณวิเวียน แม่ของเขาได้รับเกียรติเดินในชุดฟีนาเล่ แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติของการรับงานในเมืองไทยของแม่ที่ยังสวยและอ่อนกว่าวัยอยู่มากของเขาจะมีพ่อมาเป็นเพื่อนและคอยดูแลทุกงาน ทว่าในครั้งนั้นพ่อเกิดติดงานอยู่ที่ฮ่องกง จะให้แม่ยกเลิกรับงานก็เป็นไปไม่ได้ เพราะแม่เป็นนางแบบที่มีผลงานกับแบรนด์เสื้อผ้านี้มาตั้งแต่ยุคก่อตั้ง จนดังเป็นพลุแตกในระดับโลกอย่างทุกวันนี้
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของฉัตรฉายที่ต้องตามดูแลแม่แทน นอกเหนือจากผู้จัดการส่วนตัวที่เมืองไทยอีกคน เขาต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ในห้องรับรองตั้งแต่บ่ายทั้งที่งานเริ่มช่วงหัวค่ำ จึงทำให้ได้เจอกับญาณิน เด็กนักศึกษาทำงานพาร์ตไทม์ที่นำน้ำและอาหารว่างมาเสิร์ฟให้ ท่าทางสำรวมกับสีหน้าเรียบสนิทของหล่อนจึงเตะตาเขา เพราะช่างต่างจากสาวแท้สาวเทียมในงานที่มักปรี่มาหยิกหยอกเขา ซึ่งมีทั้งทีเล่นและทีจริง ด้วยคุ้นเคยกับแม่ของเขานั่นเอง
ฉัตรฉายรู้สึกดีกับเธอ เป็นความถูกตาต้องใจครั้งแรกที่พบเจอโดยไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
แต่แล้วไม่ทันข้ามวันเขาต้องบอกตัวเองให้หยุดไว้ก่อน เมื่อรู้ว่าญาณินเป็นน้องสาวของผู้หญิงที่น้าชายเขาควงอยู่ เพราะรู้ถึงความสัมพันธ์อันฉาบฉวยของทั้งคู่ดี ทำให้ฉัตรฉายไม่อยากพาตัวเองเข้าไปทำความรู้จักกับเธอในห้วงเวลานั้น เขาตัดสินใจรอเวลาที่เหมาะสมกว่าเพื่อจะได้ทำความรู้จักกับเธอใหม่
ฉัตรฉายยังเฝ้าติดตามข่าวของญาณินอยู่ตลอดเวลาสี่ปีจนเธอเรียนจบ พอตั้งใจจะกลับมาสานสัมพันธ์ ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาผิดหวัง เขามองเธอผิดไป ฉัตรฉายจึงตัดสินใจตัดเธอออกจากความสนใจ
อีกสองปีถัดมาจากช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจของใครก็ตามที่ทำให้ญาณินเข้ามาใกล้ชีวิตเขาอีก ฉัตรฉายแค่รับรู้ว่าหล่อนยังมีตัวตนอยู่ แต่ไม่อาจนำความรู้สึกเดิมๆ ของเขากลับมา
ญาณินเมื่อหกปีก่อนกับในวันนี้ แม้จะเป็นเธอคนเดิม รูปลักษณ์ที่แทบไม่เปลี่ยนจากเดิม แต่ความรู้สึกของฉัตรฉายนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เช้าวันหยุด ท้องฟ้าที่ขมุกขมัวมาหลายวันในช่วงหน้าหนาวก็เริ่มกระจ่าง มีแสงแดดส่องมากขึ้น ญาณินตากผ้าเสร็จก็เดินมาทางหน้าบ้าน มองคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่ใกล้ประตูบ้าน เบื้องหน้ามีกระดาษสีขาวที่ถูกระบายด้วยสีไม้ในมือป้อมจนเกิดลวดลายแปลกตา และนั่นก็เป็นผลงานที่น่าภูมิใจของหนูน้อย
“น้าอ่อน นี่รถ”
เด็กน้อยเงยหน้าพลางชันกายขึ้น ชี้นิ้วป้อมตรงมุมขวาของภาพแล้วบอก ญาณินมองตามอย่างให้ความสนใจ แม้จะดูไม่ออกแถมไม่รู้ถึงแรงบันดาลใจ แต่สีสันและลวดลายฉวัดเฉวียนเต็มหน้ากระดาษนั้นก็ทำให้รู้ว่าในความคิดของแตงหวานเช้าวันนี้ยังมีความสดใสอยู่
“รถของแตงหวานสวยมากค่ะ แล้วตรงนี้เป็นอะไรคะ”
หล่อนชี้ไปยังกระจุกสีที่แตกต่างจากองค์ประกอบอื่น แตงหวานยิ้ม ดวงตาพราวระยับ...หากคำตอบทำให้ญาณินหน้าเจื่อน แทบปรับสีหน้ากลับมาไม่ทัน
“ลูกโป่งของแตงหวาน” เสียงตอบอย่างภาคภูมิใจไม่ต่างจากเดิม คำต่อมาก็ยิ่งทำให้ญาณินลมหายใจติดขัด เมื่อนิ้วป้อมชี้กลับไปยังมุมขวาของภาพ “นี่ไม่ใช่...ไม่ใช่รถแตงหวาน”
ไม่ถามต่อละว่าแตงหวานวาดรถของใคร หล่อนไม่ต้องการรู้ แล้วจะผิดไหมถ้าปิดกั้นจินตนาการของแตงหวานเสียตั้งแต่ตอนนี้
“วันนี้แตงหวานไม่ไปโรงเรียน แต่น้าอ่อนต้องทำงาน แตงหวานจะไปช่วยน้าอ่อนทำงานที่ร้านป้าหงส์ไหมคะ”
“ไปค่ะ แตงหวานไปร้าน” เด็กน้อยผุดลุกนั่งทันที วางมือจากดินสอสีและกระดาษ การชวนออกไปข้างนอกด้วยกันดึงดูดความสนใจของหนูน้อยเสมอ ค่อยทำให้ญาณินโล่งใจขึ้น
“ถ้างั้นเราก็อาบน้ำ แต่งตัวสวยๆ แล้วไปกัน”
ท่าทีลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เร่งเร้าให้พาไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ทำให้ญาณินยิ้มอย่างเอ็นดู แตงหวานน่ารักเสมอ แม้เกิดมาท่ามกลางความไม่พร้อม แต่ไม่เคยลดทอนความร่าเริงของแม่หนูได้เลย
เมื่อตั้งใจจะหยุดเรียกร้องความช่วยเหลือจากญาติฝ่ายพ่อของแตงหวานแทนพี่สาว ญาณินก็สัญญากับตัวเองว่าจะดูแลหลานสาวให้ยอมรับกับสิ่งที่เป็น ไม่ให้ความไม่สมบูรณ์เหล่านี้ต้องบั่นทอนอนาคตของแตงหวานในภายภาคหน้า
เมื่อกวาดตามองรอบ ขณะจูงหลานสาวกลับเข้าห้องนอนเพื่อเตรียมอาบน้ำให้ คำพูดของคนเมื่อวานก็กลับเข้ามา
‘ทำไมมันซอมซ่อแบบนี้ หมดปัญญาหาที่ดีๆ อยู่แล้วหรือไง แล้วจะปลอดภัยกับเด็กหรือเปล่า’
ช่างเถอะ แม้วันนี้ยังไม่พร้อมหาสิ่งดีที่สุดให้ แต่เด็กในวัยเรียนรู้และกำลังเติบโตก็ต้องการการดูแลและใส่ใจมากที่สุด รู้ว่าเวลาเป็นสิ่งที่เด็กวัยนี้ต้องการ หล่อนจึงให้ความสำคัญ ไม่วางใจจะให้แตงหวานอยู่ในความดูแลของคนอื่น ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะวางอนาคตการงานของตัวเองลงเพื่อดูแลหลานสาวได้อย่างเต็มที่
จนเมื่อต้องหางานทำ หล่อนจำเป็นต้องมีรายได้ เงินเก็บแสนกว่าบาทที่พี่สาวชี้ให้เห็นว่าจะใช้ได้สักกี่เดือนจึงถูกกันเป็นเงินเก็บสำรองในบัญชี ญาณินยังยึดความต้องการของแตงหวานเป็นหลัก ร้านเจ๊หงส์จึงลงตัวเพราะอยู่ใกล้ศูนย์เด็กเล็กที่เลือกให้แตงหวานเข้าเรียน
ต่อมาจึงเป็นการหาที่พัก บ้านเช่าหลังนี้เจ๊หงส์แนะนำให้ ด้วยรอบบ้านค่อนข้างสงบ ภายในรั้วรอบมีพื้นที่พอให้แตงหวานวิ่งเล่น ทำกิจกรรมของเด็กในวัยเรียนรู้ หล่อนดูจนมั่นใจแล้วว่าปลอดภัยดีจึงเลือกย้ายมาอยู่ที่นี่
ญาณินวางอนาคตของสองชีวิตไว้ว่า เมื่อแตงหวานโตขึ้นหล่อนจะขยับขยายหางานใหม่ที่ได้ค่าจ้างมากกว่าเดิม หล่อนมั่นใจในคุณสมบัติและศักยภาพของตัวเองว่ามีมากพอเมื่อถึงเวลานั้น เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายของแตงหวานที่จะมีมากขึ้นและเพื่อความมั่นคงของหล่อนเอง
ทุกอย่างที่เป็นอยู่ญาณินคิดอย่างรอบคอบแล้ว จึงไม่ต้องการให้คนอื่นยุ่มย่ามหรือวิจารณ์สิ่งที่หล่อนจัดสรรให้ตัวเองและหลานสาวอีก
เกือบชั่วโมงญาณินถึงจูงแตงหวานออกจากบ้าน พร้อมกระเป๋าบรรจุสัมภาระของเด็กน้อย เมื่อล็อกประตูบ้านและประตูรั้วจนเรียบร้อยก็เจอกับเพื่อนบ้านสาวใหญ่ที่ออกกำลังกายอยู่บนถนนหน้าบ้าน แม้ไม่เจอกันบ่อยนักเพราะต่างก็ทำงานในวันธรรมดา แต่ทุกครั้งที่เจอหน้าก็ปรี่มาทักทายอยู่เสมอ
“ไปไหนกันจ๊ะสองน้าหลาน แล้วนี่หอบอะไรกันเยอะแยะ มีใครมารับหรือเปล่า”
“ทำงานค่ะ” ญาณินบอกอย่างเข้าใจความอยากรู้ของคนถาม แม้จะรู้สึกตงิดกับประโยคสุดท้ายนั่นก็เถอะ “อ่อนฝากบ้านด้วยนะคะ วันนี้จะอยู่ร้านเจ๊หงส์ทั้งวัน”
“อ๋อ ได้สิจ๊ะ พี่คิดว่ามีคนมารับไปเที่ยวซะอีก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องห่วง พี่อยู่บ้านทั้งวัน ไม่มีธุระไปไหน บ่ายนี้จะทำขนมจีนน้ำยากินกัน ยังคิดว่าจะแบ่งไปให้อยู่เลย เสียดายที่น้องอ่อนไม่อยู่”
ญาณินบอกขอบคุณอย่างจริงใจในน้ำใจนั้น ก่อนจูงมือแตงหวานแยกย้าย แม่หนูน้อยยังหันไปโบกมือร่ำลาด้วยคุ้นเคยกับคุณป้าข้างบ้านอย่างเด็กอารมณ์ดี
ปกติแล้วญาณินมักเลี่ยงที่จะคบหากับใครก็ตามที่อาจล้ำเข้ามาในความเป็นส่วนตัว ปรารถนาจะอยู่อย่างสันโดษตามประสาคนมีโลกส่วนตัวสูง แต่พอมีแตงหวานเข้ามาก็ทำให้หล่อนเปลี่ยนมุมมองชีวิตมากขึ้น การผูกมิตรกับเพื่อนบ้านที่หากตัดความอยากรู้ออกไปก็พบว่าเขาเป็นคนที่มีน้ำใจและอัธยาศัยดีคนหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องลำบากใจที่จะมองข้ามบางสิ่งไปบ้าง
ความคิดของหญิงสาวสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงจากคนที่เดินจูงมืออยู่ข้างๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงคล้ายพึมพำนั้นเจ้าตัวกำลังพูดคนเดียวหรือร้องเพลง เพราะจับถ้อยคำไม่ได้ แต่แค่เห็นรอยยิ้มกับดวงตาพราวใสเมื่อหนูน้อยแหงนมามองหล่อน ญาณินก็ยื่นมืออีกข้างไปลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู
มั่นใจแล้วว่าวันเวลาข้างหน้าสำหรับเธอต้องมีแตงหวานอยู่ด้วยเท่านั้น...ความสนใจมีให้แต่หลานสาวคนเดียว ลืมความกังวลเมื่อคืนเสียสิ้น ลืมแม้กระทั่งบางคำถามจากเพื่อนบ้านที่เพิ่งตงิดใจเมื่อครู่เช่นกัน