บทที่ 7 ลูกโป่งของแตงหวาน
“ไม่อยู่บ้าน แล้วเขาพาเด็กไปไหน”
เสียงทวนคำถามบอกถึงความประหลาดใจ วันนี้เป็นวันหยุดแล้วผู้หญิงคนนั้นพาเด็กตัวเล็กๆ ตะลอนไปไหนกัน
“เพื่อนบ้านบอกว่าเธอพาคุณหนูไปทำงานด้วยครับ”
“นายหมายถึงร้านค้าตรงหัวมุมถนนใช่ไหม”
คนถามหันมาหาคู่สนทนาพลางหรี่ตานึกภาพที่เห็นเมื่อวาน แม้จะเป็นช่วงค่ำ ร้านค้าปิดทำการแล้ว แต่เขาก็พอนึกสภาพในช่วงกลางวันได้
“ครับ เป็นร้านวัสดุก่อสร้าง เจ้าของชื่อเจ๊หงส์”
“สภาพยังกับโกดังเก็บของ ที่อย่างนั้นเหมาะกับการนำเด็กไปเลี้ยงหรือไง คิดอะไรของเขา หรือว่าไม่มีปัญญาจะเลี้ยงเด็กให้ดีกว่านี้แล้ว”
นึกไปถึงฝุ่นละอองจากวัสดุก่อสร้างในร้าน แถมยังคนงานอีก ฉัตรฉายไม่อยากนึกต่อเลยว่าเด็กผู้หญิงที่คลุกคลีอยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบนั้นเมื่อเติบโตขึ้นมาสภาพจะเป็นอย่างไร
ชายหนุ่มข่มกลั้นลมหายใจนิ่ง คนสนิทเหล่มองอย่างคาดเดาท่าที ครั้นเห็นว่าเขาเงียบไปนานก็ถามขึ้น
“แล้วเฮียจะให้ผมทำยังไงต่อครับ”
“ทำอะไรของนาย”
ฉัตรฉายสวนคำถามพลัน อีกฝ่ายเลิกคิ้ว...ไม่รู้ว่าถ้อยคำต่อไปจะสะกิดต่อมหงุดหงิดของนายเข้าอีกหรือเปล่า แต่ก็ต้องเสี่ยงดู เพราะเขาก็จนปัญญาแก้ปัญหานี้เหมือนกัน มันไม่ใช่งานที่เขาถนัดเลย
“อันนี้ครับ ของที่จะให้คุณหนู เฮียจะให้ผมจัดการยังไง”
ลูกโป่งสีฟ้าผูกเป็นช่อกำลังล้อตามแรงลม ฉัตรฉายเหลือบมองนิดหนึ่งก่อนเมินไปทางอื่น แล้วบอกเสียงเรียบ
“แล้วแต่นาย จะเอาไปให้ถึงมือเจ้าตัวหรือจะทิ้งก็ตามใจ”
นทีมองลูกโป่งสีฟ้าลายปลาการ์ตูนสามใบที่ผูกเป็นช่อแล้วคล้องกับรั้วไม้ระแนงของบ้านเช่าที่เพิ่งมาครั้งแรกพร้อมนายเมื่อวาน ผ่านไปแค่วันเดียวเขาก็ต้องกลับมาที่นี่พร้อมกับสิ่งนี้
แค่นึกถึงคุณหนูแตงหวานที่ก่อวีรกรรมแย่งลูกโป่งในมอลล์กับการ์ดที่ดูแลความเรียบร้อยของเวทีแฟชั่นโชว์ นทีก็ตัดสินใจไม่ยากที่จะเอามันกลับมาอีก หลังจากแวะมาแล้วรอบหนึ่งในช่วงบ่าย
‘แล้วแต่นาย จะเอาไปให้ถึงมือเจ้าตัวหรือจะทิ้งก็ตามใจ’
ถ้อยคำของนายหนุ่มทำให้นทีหลุดยิ้มขัน ใครจะเอาไปทิ้งได้ลงคอ...ก็ไม่ใช่เพราะนายหรอกหรือที่สั่งให้เขาตามหาซื้อลูกโป่งที่มีลวดลายเหมือนกัน เขาก็จำรายละเอียดไม่ได้ นึกออกแต่ว่าเป็นลูกโป่งสีฟ้า สุดท้ายจึงได้ลูกโป่งลวดลายปลาการ์ตูนแถมด้วยจุดเหลืองแซมนี้มา หวังว่าพอแทนกันได้นะ
คนสนิทของพ่อเลี้ยงฉัตรฉายมองลูกโป่งช่องามของตน แล้วถอยหลังกลับ เขาไม่รู้ว่าสองน้าหลานคู่นั้นจะกลับบ้านเมื่อไหร่ ครั้นจะตามไปให้ที่ร้านวัสดุก่อสร้างก็เกรงจะเอิกเกริกเกินไป มันคงไม่เหมาะ ท้ายที่สุดจึงต้องมาแขวนไว้ตรงนี้ รอเจ้าของบ้านมาเจอเอง
ยังไม่ถึงหกโมงเย็น แต่ท้องฟ้าเริ่มสลัวเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว แม้เมื่อเช้าฟ้าจะกระจ่างแจ้งกว่าทุกวันก็ตาม
ญาณินมองคนพูดจ๋อยๆ ตลอดทางอย่างนึกขัน แม่หนูน้อยกลับมามีพลังเหลือเฟือ ทั้งที่ตอนออกจากร้านยังงอแงและงัวเงียอยู่ เพราะต้องอุดอู้อยู่ข้างในทั้งวัน
วันนี้แตงหวานไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นที่ไหน ต้องอยู่เพียงแต่ในห้องทำงานแคบๆ ที่เจ๊หงส์ยกให้สองน้าหลานเป็นการชั่วคราว
สมุดภาพที่เตรียมไปถูกวาดระบายจนเกือบครึ่งเล่ม จนช่วงบ่ายหนูน้อยก็เริ่มเบื่อ ญาณินจึงหากิจกรรมอื่นให้ทำ...แต่ก็ผ่านได้แค่ระยะสั้นๆ แม่หนูก็จะหมดความสนใจ เรียกร้องให้หล่อนหันมาพูดคุยและเล่นกับตัวเองด้วย กว่าจะผ่านวันนี้มาได้ก็แทบหมดแรง...ทั้งงานที่เจ๊หงส์เอามาเพิ่มให้ แล้วยังต้องเป็นเพื่อนเล่นหลานสาวอีก
ญาณินเดินจนใกล้ถึงบ้านพักซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจนสุดซอย เพื่อนบ้านผู้มีอัธยาศัยดีก็ร้องทัก...หล่อนจึงต้องหยุดฝีเท้าทักทายตอบ แม้จะอยากตามใจตัวเองโดยการเดินตรงเข้าบ้าน แล้วพักผ่อนกันเพียงสองน้าหลานก็ตาม
“วันนี้ไม่ได้นัดกันไว้หรือ เขามาหาตั้งสองรอบ น้องอ่อนไม่อยู่เลยไม่ได้เจอกัน”
เริ่มต้นคำถามที่ทำให้ญาณินงง พยายามจับประเด็นว่าพัชราเพื่อนบ้านผู้ช่างสังเกตหมายถึงอะไร แต่ก็ยังตีความไม่ได้ สุดท้ายถึงต้องถามเจ้าตัวเอง
“พี่พัดพูดถึงอะไรคะ ใครนัดกัน แล้วใครมาหาสองรอบ อ่อนไม่เข้าใจ”
พัชราค้อนกลับ ตีสีหน้าแปลก ญาณินมองออกว่าเพื่อนบ้านไม่เชื่อในสิ่งที่หล่อนพูด
“น้องอ่อนถามพี่แล้วพี่จะไปถามใคร”
พัชราทำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่ก็ขยายความต่ออย่างไม่ให้ขาดตอน...เหมือนเกรงคู่สนทนาจะรอนานแล้วหมดความสนใจก่อนตัวเองจะพูดจบ
“รถคันเมื่อคืนที่มาส่งน้องอ่อนกับแตงหวาน วันนี้ก็มาอีก ยังจอดที่เดิม เยื้องบ้านพี่นิดเดียว พี่เห็นชัดเจนเลย ตอนบ่ายเขายังมาถามหาน้องอ่อนกับพี่ด้วย แล้วสักครึ่งชั่วโมงก็ยังมาอีก แต่รอบนี้พี่ไม่ได้คุยด้วยเพราะติดงานในครัว วางมือออกมาไม่ได้น่ะจ้ะ”
“อะไรนะคะ ใครมา”
“อย่าแสร้งมาถามพี่ น้องอ่อนรู้ดีกว่าใคร รถคันนั้นราคาแพงเป็นสิบๆ ล้าน เจ้าของรถคงไม่รับใครขึ้นรถมาส่งง่ายๆ ถ้าไม่รู้จักกันดี” พัชราพูดจาฉะฉานเป็นการเป็นงาน คล้ายกำลังวิเคราะห์เรื่องสำคัญที่อาจส่งผลถึงชีวิตใครสักคน “แต่พี่ก็ไม่ปักใจนะว่าคนที่มาหาเป็นเจ้าของรถหรือเปล่า หน้าตาท่าทางดีนั่นละ แต่มองยังไงก็ยังไม่ใช่...ไม่มีออร่าสมราคารถ ไม่ใช่ว่าพี่นิยมวัตถุแล้วจะดูถูกคนนะ แต่ของพวกนี้พี่พอดูออก”
ขณะที่ญาณินยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ความรู้สึกกึ่งเชื่อและไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนบ้านพูดถึง แตงหวานก็สะบัดมือออกแล้ววิ่งไปทางประตูรั้วบ้าน หล่อนจึงขอตัวออกเดินตาม นึกโล่งใจที่ไม่ต้องอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัด ไม่ต้องถูกคาดคั้นให้ตอบในสิ่งที่ไม่รู้ จนหลานสาวส่งเสียงกรี๊ดๆ ขึ้น จึงเร่งฝีเท้าตาม
ญาณินยืนตัวแข็งทื่อ มองแตงหวานที่ปีนรั้วไม้ระแนงเพื่อจะดึงช่อลูกโป่งสีฟ้าที่ผูกไว้ เด็กน้อยทำได้สำเร็จ ได้ลูกโป่งช่อนั้นมาถือไว้ในมือสมใจ
“ลูกโป่ง น้าอ่อน...ลูกโป่งของแตงหวาน”
เด็กน้อยวิ่งมาหา ความสุขฉาบทั่วดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้ม จนญาณินไม่อาจใจแข็งพอที่จะทำลายมัน
“เข้าบ้านก่อน ไป”
หญิงสาวเปิดประตูรั้วบ้าน ทำเป็นไม่เห็นพัชราที่เดินเลียบเลาะริมรั้วภายในเขตบ้านอีกหลังที่อยู่ติดกัน คงเพื่อจะมองได้ชัดขึ้น
ญาณินต้อนหลานสาวให้เข้าไปข้างใน เลี่ยงที่จะให้คำตอบในเหตุการณ์ที่หล่อนก็ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว
ญาณินมีเบอร์โทร. ติดต่อฉัตรฉาย เบอร์นี้พี่สาวให้มา แต่เธอก็ไม่เคยใช้มันสักที...
หญิงสาวมองดูหน้าจอมือถือ ความรู้สึกกลับมาเป็นเหมือนเดิม ครั้งหนึ่งเคยมองมันอย่างตัดสินใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ เลือกที่จะพาแตงหวานดุ่มๆ ไปหาเขาถึงบ้าน แล้วนั่นละ เธอกับหลานสาวก็ไม่ได้เข้าพบ สองคนได้แต่รออยู่หน้าประตูรั้วบ้าน รอจนทนไม่ไหวถึงพากันกลับ
เมื่อมินตรารู้ก็โทร. มาหา พี่สาวไม่เข้าใจว่าญาณินทำอย่างนี้ทำไม เมื่อฉัตรฉายไม่ให้เข้าพบ แล้วทำไมถึงไม่รุกเข้าหา ทำไมถึงไม่พยายามมากกว่านี้เพื่อจะเข้าถึงตัว
สำหรับญาณินแล้ว รู้แก่ใจว่าฉัตรฉายรับรู้ทุกเรื่องดีแล้ว แต่ในเมื่อเขาไม่ตอบรับ มันก็ชัดเจนว่าเขาไม่ยินดียินร้ายกับการมีตัวตนอยู่ของแตงหวาน
กระนั้นหล่อนก็ยังยอมพี่สาวเพื่อไม่ให้ฝ่ายนั้นคาใจ ยังพาแตงหวานไปพบฉัตรฉายที่บ้านเขาถึงสามครั้ง และคำตอบของทุกครั้งก็ไม่ได้ต่างจากเดิม...มินตราถึงยอมรับความจริงว่าแตงหวานไม่ได้มีความสำคัญกับบ้านนั้นสักนิด
‘อ่อนไม่รู้ว่าพ่อของแตงหวานบอกพี่เมี่ยงยังไง เขายืนยันหรือเปล่าว่าพ่อเลี้ยงฉัตรฉายจะช่วยเหลือเรื่อง เอ่อ...ค่าเลี้ยงดูแตงหวาน ความจริงเขาเป็นแค่ญาติ มันไม่ใช่หน้าที่เขาที่ต้องมารับภาระ ถ้าเขาจะปฏิเสธเลยก็ไม่มีใครว่าอะไรเขาได้’
ความรู้สึกของญาณินในตอนนั้นก็แค่อยากได้คำตอบที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้คลุมเครือ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนยินดีปล่อยให้มันค้างคาจนหล่อนสะท้อนใจ มองออกว่าไม่มีใครอยากเป็นเสาหลักให้แตงหวาน...แม้แต่คนให้กำเนิดเอง
ญาณินถึงได้ตัดสินใจตั้งต้นใหม่กับหลานสาว จัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทางเมื่อตระหนักดีว่าต่อนี้ไปจะเหลือกันเพียงสองชีวิต ไม่ได้น้อยใจ ไม่คิดจะเรียกร้องจากใคร เพราะที่ผ่านมาหล่อนได้ใช้ชีวิตสุขสบายตามอัตภาพที่กรุงเทพฯ ได้เรียนหนังสือตามที่อยากเรียน...ก็เพราะมินตราทั้งนั้น
ส่วนหนึ่งก็ดีใจที่จะได้ช่วยพี่สาว หลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายจุนเจือตลอดมา ทั้งที่มินตราก็โตกว่าเธอเพียงแค่สองปี
ทุกอย่างกำลังเข้าที่อยู่แล้วเชียว...
ญาณินหน้างอเมื่อคิดถึงตรงนี้ มองแตงหวานที่นั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้เด็ก เจ้าตัวกำลังทำตัวเป็นจิตรกรฝาผนัง ขีดเขียนบนกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ที่ญาณินเอามาปิดทับไว้กับผนังบ้าน เพราะไม่อย่างนั้นบ้านเช่าคงเต็มไปด้วยลวดลายจากสีไม้ของแม่จิตรกรใหญ่คนนี้เป็นแน่