บทที่ 5 เหตุผลที่ทำให้ใครสักคนคงอยู่
ถ้าเป็นเวลาอื่นญาณินคงค้านหลานสาวอีกยกใหญ่ แต่ไม่ใช่วันนี้ที่เพิ่งมีเรื่องใจหายใจคว่ำเกิดขึ้นกับเจ้าตัว เรื่องที่ทำให้จิตใจเธอยังไม่มั่นคงดีนัก
ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มยิ้มเผล่ทันทีเมื่อน้าสาวลุกขึ้นถือขวดนมเดินออกจากห้องนอนเพื่อจะจัดการให้ตามที่ขอ...ไม่กี่นาทีแตงหวานก็ได้ของที่ต้องการมากอดไว้อย่างหวงแหน แล้วลุกขึ้นเดินตรงไปนอนบนที่นอนซึ่งวางตรงมุมด้านในของห้องอย่างเคยชิน
ญาณินมองหลานสาวที่นอนกินนมพลางกลิ้งเกลือกไปมาดูสบายอารมณ์เหลือเกิน แล้วความคิดสงสัยก็แล่นปราดเข้ามา
เหตุการณ์วันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่พ่อเลี้ยงฉัตรฉายได้เจอหน้าแตงหวาน ผู้ชายคนนั้นไม่ได้มีท่าทีสนใจหรืออยากจดจำแตงหวานเหมือนเคย แต่เธอกลับเห็นแตงหวานจ้องมองเขา หัวใจของญาณินกระตุกวาบเมื่อเห็นความสนใจใคร่รู้เปล่งออกมาจากดวงตากลมดำขลับของหลานสาว
ญาณินกลัว เป็นความกลัวที่เกิดขึ้นครั้งแรก...เด็กสองขวบเศษอย่างแตงหวานจะจำเรื่องราววันนี้ได้แค่ไหนนะ
‘พ่อเลี้ยงฉัตรฉายเข้าถึงตัวยาก ฉันไม่มีเวลาตามแล้ว เธอพาแตงหวานไปให้เขาหรือพ่อแม่เขารู้จักหน่อยแล้วกัน พ่อแตงหวานบอกไว้ว่าคนบ้านนั้นรู้อยู่แล้วว่ายังมีหลานสาวอยู่ในเชียงราชอีกคน’
ถ้อยคำกึ่งคำสั่งของมินตราที่ให้ไว้กับเธอก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศยังคงดังก้องหู
ตอนนั้นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นจนญาณินจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองและหลานสาวอย่างไรดี...บ้านหลังเดียวที่พ่อแม่เหลือเป็นสมบัติไว้ให้ก็ถูกขายออกไปเพื่อเคลียร์หนี้สินของพี่สาว เงินที่เหลือเพียงเล็กน้อยเจ้าตัวก็ขอนำติดตัวไปเป็นทุนเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างประเทศ
ส่วนรถที่มินตราใช้ ญาณินก็เพิ่งรู้ว่าเป็นของคนอื่น มีคำถามมากมายในหัวว่าใครกันที่ใจดีแบ่งสิ่งเหล่านี้ให้พี่สาวยืมใช้อยู่หลายปีโดยไม่ทวงคืน...แต่พอนึกถึงการใช้ชีวิตของมินตราและผู้คนที่คบหา ก็เป็นเธอที่เปลี่ยนใจไม่อยากถาม ไม่อยากได้คำตอบขึ้นมาเอง
‘พ่อแม่ของพ่อเลี้ยงฉัตรฉายรวยเป็นพันล้าน แถมเขาเป็นลูกชายคนเดียว สมบัติจะไปไหนเสีย แตงหวานถือเป็นญาติใกล้ชิด พ่อของแตงหวานคงคิดดีแล้วที่ให้พาไปให้ทางนั้นรู้จัก พ่อเลี้ยงคงไม่ใจดำทิ้งขว้างให้แตงหวานอยู่อย่างอดอยาก ให้ฉันเลี้ยงเองก็ไม่รู้จะไปได้สักกี่น้ำ ฉันอยากเป็นแม่ที่ดีนะ แต่มันทำได้แค่นี้ ส่วนเธอก็ตกงาน เงินเก็บแค่แสนกว่าบาทของเธอจะใช้ได้สักกี่เดือนเชียว ถ้าได้เงินจากพ่อเลี้ยงมาบ้างก็ดีกว่าอยู่อย่างจนตรอกไปวันๆ’
ถ้าตัวคนเดียวญาณินคงไม่เดือดเนื้อร้อนใจหรอก ร่างกายยังแข็งแรงดี ความรู้ก็มี เธอพาตัวเองรอดได้ไม่ยาก แต่พอนึกถึงหลานสาววัยสองขวบที่จู่ๆ ก็ตกอยู่ในความรับผิดชอบแบบฉับพลัน มันก็ทำให้มืดแปดด้านไปเหมือนกัน...เธอจึงไม่ได้ค้านคำพูดของพี่สาว แม้จะรู้สึกตงิดๆ ว่าช่างบั่นทอนศักดิ์ศรีก็ตาม แต่ต้องพับเก็บแล้วทำเพื่อหลานสาวไปก่อน
‘พ่อเลี้ยงฉัตรฉายไม่เอาแตงหวานไปเลี้ยงหรอก คนอย่างเขาไม่ทุ่มเทให้ใครขนาดนั้น แต่ก็น่าจะมีเงินอุปการะให้ เธอจะได้ทุ่นค่าใช้จ่าย กว่าแตงหวานจะโตคงใช้เงินอีกมาก’
จำได้ว่าเธอเองได้แต่นั่งนิ่งๆ ในหัวอื้ออึงไปหมดเมื่อสรุปใจความได้ว่า ต่อจากนี้เธอมีหน้าที่เลี้ยงดูแตงหวานตามลำพังแน่นอนแล้ว...
‘ฉันฝากแตงหวานด้วย ไม่ว่าเธอจะอยู่เชียงราชหรือย้ายกลับกรุงเทพฯ ก็อย่าทิ้งหลาน ไว้ฉันตั้งตัวได้แล้วจะช่วยเธออีกแรง’
หญิงสาวไม่รู้ว่าจมอยู่กับความคิดนานเท่าไร มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากหลานสาว พอหันมองจึงเห็นเจ้าตัวนั่งอยู่กลางที่นอนแล้วยกขวดนมขึ้นแกว่งให้ดูว่ากินนมหมดขวดแล้ว
“เอาขวดนมมาให้น้าอ่อน แล้วแตงหวานก็ไปแปรงฟัน เตรียมเข้านอนได้แล้วค่ะ”
เด็กหญิงลุกขึ้นอย่างว่าง่าย เดินมาหาน้าสาวอย่างไม่อิดออด
ค่ำคืนนั้นหลังจากจัดการให้หลานสาวเข้านอนจนเรียบร้อย ญาณินก็กลับมาทำงานที่ค้างอยู่จนเสร็จ แต่พอเข้านอนก็กลับรู้สึกตาค้าง จิตใจไม่ยอมสงบตาม ความคิดมากมายวิ่งวุ่นอยู่ในหัว หล่อนหันมองคนตัวจ้อยที่นอนข้างๆ ลมหายใจสม่ำเสมอบอกว่าหลับสนิทแล้ว
แตงหวานเป็นความคุ้นเคยในชีวิตไปแล้ว ถึงตอนนี้หล่อนยินดีและเต็มใจยิ่งกว่าอะไรที่มีชีวิตน้อยๆ อยู่ด้วยกัน แม้ตอนแรกจะรับมาด้วยภาวะตกบันไดพลอยโจนก็เถอะ
มั่นใจได้แค่ไหนว่าทางพ่อเลี้ยงฉัตรฉายจะไม่อยากได้แตงหวานไปเลี้ยงเองสักวัน
ความหวงแหนเกิดขึ้นเต็มหัวใจ แตงหวานหน้าตาน่ารัก สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง พัฒนาการดีตามวัย แถมส่อแววว่าฉลาด เธอไม่ได้เข้าข้างหลานสาวหรอก หลายคนพูดถึงว่าอย่างนี้ จึงเป็นที่มาของการตั้งคำถามว่าพ่อของแตงหวานเป็นใครให้เธออึดอัดใจได้เสมอ และการได้พบกับญาติฝ่ายพ่อของแตงหวานในวันนี้จึงทำให้ความหวาดระแวงผุดขึ้นกลางใจ
ถ้าย้อนเวลากลับได้ญาณินเลือกที่จะไม่เชื่อพี่สาว...หล่อนจะไม่มีทางพาแตงหวานไปบ้านหลังใหญ่หลังนั้นเพื่อพยายามพบพ่อเลี้ยงฉัตรฉายเลย
รถคันสีดำเคลื่อนมาจอดหน้าคฤหาสน์สีขาวที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางความมืดของราตรีกาล แสงไฟจากหน้ารถสาดกระทบสายน้ำตรงลานน้ำพุที่พุ่งสู่อากาศก่อนตกลงมาซ่านเซ็นไม่ขาดสาย ฉัตรฉายหรี่ตามองนิ่ง ก่อนกวาดสายตาไปยังลานจอดรถด้านในเหมือนจะหาอะไรบางอย่าง แล้วเรียวคิ้วเข้มที่พาดผ่านดวงตาคมเรียวรีก็ขมวดมุ่น กระทั่งคนสนิทเดินมาหา เขาถึงเปิดประตูรถตอนหลังแล้วก้าวออกไป
“คุณทั้งสองมาตั้งแต่บ่ายครับเฮีย” โดยไม่ต้องถาม เขาก็ให้คำตอบที่กำลังอยากรู้
“แล้วไม่มีใครคิดจะบอกฉันหรือไง”
น้ำเสียงนั้นปนความหงุดหงิด คนสนิทที่เข้ามารับหน้าได้แต่เดินตามไปส่งนายเงียบๆ อย่างรู้ทาง
เพียงแค่ฉัตรฉายย่างก้าวแรกผ่านประตูคฤหาสน์เข้าไปด้านใน เสียงหวานนุ่มก็ทำลายความเงียบนั้นขึ้น
“กลับบ้านดึกดื่นอย่างนี้ทุกวันหรือเฮีย นี่ถ้าไม่โผล่มาเงียบๆ ก็คงไม่รู้ว่าอยู่ทางนี้ทำตัวเหลวไหลยังไงบ้าง”
ผู้หญิงร่างเพรียวบางในชุดนอนกรุยกรายสีขาว มีเสื้อคลุมทับให้พอดูรัดกุมเดินตรงเข้ามาหา แล้วโอบกอดฉัตรฉาย ยกสองมือประคองแก้มสากแล้วมองเข้าไปในดวงตาคมลึกนิ่งสนิทนั้นอย่างรักใคร่ ก่อนจะโอบกอดเขาทั้งตัวเพื่อให้คลายคิดถึง ชายหนุ่มยืนนิ่งเฉย ไม่ตอบสนอง ไม่ปัดป้อง ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดรัดจนสมใจแล้วปล่อยมือจากเขาเอง
“มาถึงเมื่อไหร่กันครับ”
“มาถึง…หมายถึงอะไร มาถึงเมืองไทยหรือมาถึงบ้านเรา” คนถูกถามย้อนถามกลับพลางเลิกคิ้วมองด้วยสายตาล้อเลียน
“แล้วแต่คุณวิเวียนจะกรุณาบอกเถอะครับ” ฉัตรฉายถอนหายใจ เอื้อมมือโอบกอดแผ่นหลังบอบบางเป็นการตัดบท พาเดินไปยังผู้ชายที่นั่งง่วนอยู่กับบางสิ่งตรงโซฟาที่มุมโถงบ้าน
“แล้วนี่พ่อเลี้ยงปัณณ์เอาแผนที่มาทำอะไรครับ บอกไว้ก่อนเลยนะว่ารอบนี้ห้ามเข้าไปทำแผลงๆ ในพื้นที่โดยที่ผมไม่รู้อีก เกิดอะไรขึ้นจะวุ่นวายกันไปหมด”
“น้อยๆ หน่อย คราวก่อนมันเหตุสุดวิสัย ฉันแค่จะเข้าไปปลีกวิเวกหาความสงบ ช้างป่ามันหลงเข้ามาในพื้นที่ของนายได้ยังไง ใครจะไปกะเกณฑ์มันได้ล่ะ หน็อย แค่ช่วยฉันออกจากวงล้อมช้างหน่อยเดียว ทวงบุญคุณไม่รู้จักจบสิ้น”
ปลายเสียงตวัด บอกให้รู้ว่าไม่ชอบใจกับคำปรามเท่าไร แล้วยิ่งขุ่นใจเข้าไปอีกเมื่อผู้หญิงคนเดียวในที่นั้นยังเสริมเข้าไป
“ก็เฮียเขาบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าช่วงนั้นมีช้างป่าหลงเข้ามา คุณอย่าเพิ่งเข้าไปเพราะจะรบกวนมัน ช้างจะตกใจ ให้รอสัก 2-3 วัน มันก็พากันกลับเข้าป่าเอง คุณน่ะใจร้อนจนได้เรื่อง”
“ห่วงช้างห่วงเสือตามประสาไปกันเถอะนะ ส่วนฉันคงไม่มีใครห่วงหรอก”
เสียงพูดเบาๆ คล้ายรำพึงกับตัวเองหากได้ยินกันชัดเจน น้ำเสียงนั้นไม่มีแววน้อยใจเจือเข้ามาสักนิด ก่อนปรายตามอง ‘เฮีย’ แล้วพูดปิดท้ายด้วยเสียงเรียบเฉย
“ฉันเอาแผนที่งานมาดูเพราะอยากรู้ว่านายทำอะไรลงไปแล้วบ้าง สร้างล้ำพื้นที่ไปกินเขตใครหรือเปล่า ถ้ากระทบใครเข้าอีก ฉันจะได้เตรียมใจว่าต้องเข้าไปเคลียร์ให้นาย”
ฉัตรฉายสะอึก ตีสีหน้าได้แสนตลกในสายตาสองคู่ที่มองอยู่ จนเขาปรายตามองสบมา สองคนถึงได้เลิกคิ้ว เสมองทางอื่นด้วยท่าทีกลบเกลื่อน
“ผมจะเข้านอน คุณสองคนถ้ายังไม่ง่วงก็เชิญตามสบาย”
สายตาสองคู่มองตามแผ่นหลังกว้างของร่างที่ก้าวออกไป ในความขบขันนั้นเจือความเอ็นดูและภูมิใจอยู่มากโข จนเขาขึ้นบันไดไปข้างบนแล้ว สองคนจึงหันมาสบตากัน
“ทำไมเฮียของคุณเหมือนมนุษย์น้ำแข็งขึ้นทุกวัน...คุณว่าเป็นความผิดเราไหมที่เลี้ยงมันมาอย่างนี้ หรือว่าเราทำอะไรพลาดหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าก็ปกติดีนะ เขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่ที่ฉันสงสัยก็คือ วันนี้ลูกน้องเขาบอกว่าไปพบเจ้าของโรงแรมเวียงรวีตั้งแต่บ่าย แล้วทำไมถึงกลับมาตอนนี้ นี่จะห้าทุ่มแล้วนะ”
“ลูกชายคุณอายุสามสิบสองปีแล้วนะ ตอนเราอายุเท่ามัน ก็มีมันตัวโตสูงจนเกือบเท่าผมแล้ว มันจะไปไหนก็ปล่อยไปเถอะ ตามติดมากเข้าลูกคุณจะอึดอัด หนีเข้าป่าไปอยู่กับเสือกับช้างป่าอีก ผมไม่รู้ด้วยนะ”
คำนั้นทำให้คุณวิเวียนได้หยุดคิด...ตัดความกังวลที่ผุดขึ้นมาทิ้งไปได้ ลูกชายของเธอก็มีเขี้ยวเล็บพอตัว ผ่านโลกมาพอสมควร ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเข้ามา เขาก็คงรู้ทันและดูแลตัวเองได้