บทที่ 4 เหตุผลที่ทำให้ใครสักคนคงอยู่
เข้ามานั่งในรถคันนี้ได้อย่างไร ญาณินยังจับต้นชนปลายไม่ถูก มารู้สึกตัวตอนที่ถูกดุนแผ่นหลังให้เข้ามานั่งตอนหลังของรถ ขณะที่สองมือโอบอุ้มหลานสาวไว้แน่น แม่หนูน้อยก็กอดเกี่ยวหล่อนไว้ไม่ยอมปล่อย สภาพไม่ต่างจากลูกลิงเกาะแม่ของมันยามรู้สึกไม่ปลอดภัย
“จอด เอ่อ...ตรงป้ายรถหน้ามอลล์ก็ได้ค่ะ”
บอกเหมือนเสนอความเห็น แต่ญาณินต้องการให้คนขับรถทำอย่างนั้นจริงๆ ทว่าคำพูดของหล่อนไม่มีผลอะไร เพราะรถยังแล่นออกจากมอลล์แล้วผ่านจุดนั้นด้วยความเร็วคงที่
มือสองข้างโอบแผ่นหลังเล็กของหนูน้อยที่นั่งคร่อมตัก ดวงหน้าจิ้มลิ้มซบลงกับอกของหล่อนอย่างน่าสงสาร แตงหวานคงตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ยังไม่หาย ญาณินโทษว่าเป็นความผิดตัวเองที่ละเลย ไม่ใช้เชือกวิเศษสวมข้อมือตามที่ทำข้อตกลงกันจนเกิดเรื่องขึ้น
หญิงสาวมองข้าวของที่กองอยู่ข้างตัว รวมถึงกระเป๋าส่วนตัวของตัวเอง นี่ก็อีก หล่อนทิ้งทุกอย่างตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนขับรถส่งตามให้เมื่อเข้ามานั่งอยู่ในรถคันนี้แล้ว
ญาณินบังคับสายตาให้มองไปข้างหน้า หรือไม่ก็ด้านข้างผ่านหน้าต่างรถ หัวใจยังเต้นรัวจนผิดจังหวะ ถ้าสาเหตุมาจากเหตุการณ์ในมอลล์เมื่อครู่มันก็ควรกลับสู่ภาวะปกติได้แล้ว แต่เธอรู้ว่าไม่ใช่ มันยังมีสาเหตุอื่น...
ผู้ชายที่นั่งคู่คนขับทางด้านหน้า คนที่ยังไม่พูดจาสักคำตั้งแต่เข้ามานั่งในรถ และเป็นคนเดียวกับคนที่รับแตงหวานมาจากการ์ดของงานแฟชั่นโชว์แล้วส่งให้หล่อนต่างหาก
“คุณผู้หญิงบอกทางให้ด้วยครับ”
เสียงจากคนขับรถทำให้ญาณินสะดุ้ง เผลอลอบมองคนนั่งคู่คนขับเพลินไปหน่อย แม้จะเห็นแค่เสี้ยวของสันกราม ใบหู และไรผมก็เถอะ
หญิงสาวกวาดสายตามองด้านข้างแล้วจึงพบว่ารถแล่นมาในทิศทางบ้านพักของหล่อน...ทั้งที่ยังไม่ได้บอกอะไรก่อนนี้สักคำ
“เลี้ยวซ้ายแยกข้างหน้าแล้วขับตรงไป จอดตรงร้านวัสดุก่อสร้างค่ะ”
ไหนๆ ก็ติดรถมาถึงตรงนี้แล้ว การจะลงกลางทางจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะยังมีคนที่เกาะติดหล่อนอยู่นี่แหละเป็นเหตุผลสำคัญ ญาณินจึงขอลงตรงหน้าร้านที่ทำงานอยู่ แล้วเดินเข้าไปในซอยอีกไม่กี่ร้อยเมตร ใกล้พอจะให้แตงหวานเดินเองได้
รถแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ เงียบกริบและนุ่มสบาย จนรู้สึกว่าแค่ชั่วลมหายใจเดียวก็ถึงที่หมาย เมื่อรถจอดนิ่งสนิท แต่คนขับยังไม่ปลดล็อกประตูให้ ทั่วทั้งคันรถจึงมีแต่ความเงียบ ญาณินมองคนนั่งข้างคนขับ เห็นเขานิ่งอยู่...นิ่งจนหล่อนรู้สึกอึดอัด
“ช่วยเปิดประตูให้ด้วยค่ะ”
หล่อนบอกคนขับรถเสียงสุภาพพลางดึงมือแตงหวานออกจากเอวเป็นการปลุกกลายๆ หนูน้อยประท้วงเสียงอืออาราวกับให้รู้ว่ายังไม่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ เจ้าตัวกำลังซบหลับสบายอยู่แล้ว
“บ้านคุณผู้หญิงไปทางไหนครับ” คนขับรถถามกลับ ญาณินมุ่นคิ้วเมื่อรู้ถึงเจตนาของเจ้าของรถและคนขับ
“ในซอยข้างหน้าค่ะ ฉันกับหลานเดินเข้าไปได้ ไม่ไกล เราเดินเข้าออกบ่อยๆ”
คำพูดของญาณินไม่มีผลเช่นเคย รถเริ่มเคลื่อนตัว จนหล่อนต้องปล่อยเลยตามเลย คงไม่อาจเปลี่ยนใจพวกเขา หล่อนเองก็ไม่มีอารมณ์จะโต้แย้งกับใครได้ จนเข้ามาใกล้จะสุดซอยถึงได้บอก
“บ้านหลังซ้ายมือข้างหน้า จอดตรงนี้เลยค่ะ คุณจะได้กลับรถได้ง่าย”
ข้างหน้าเป็นทางตัน แถมถนนหน้าบ้านก็แคบแสนแคบ ไม่พอจะให้รถคันใหญ่หรูหรากลับได้สะดวก แต่ถ้าเป็นตรงนี้ก็พอมีที่ว่าง เพราะเป็นทางแยกที่จะทะลุไปอีกซอย
หญิงสาวแทบพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อรถจอดนิ่งสนิท ประตูรถก็ถูกปลดล็อก หล่อนอุ้มแตงหวานลงมา แล้วหยิบข้าวของทั้งหมดตาม
ญาณินจูงแตงหวานเดินห่างออกมา ตอนแรกคิดว่าในฐานะเจ้าถิ่น จะรอจนรถเคลื่อนออกไปเรียบร้อยก่อน แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะหล่อนเองก็คาดเดาความคิดของคนในรถไม่ถูก จึงฉวยข้อมือหลานสาวตรงไปยังบ้านพักแทน เปิดประตูรั้วแล้วส่งคนตัวจ้อยเข้าไปข้างใน พร้อมข้าวของเต็มสองมือ
แต่พอหันกลับเพื่อจะปิดประตูรั้วโปร่งที่สูงแค่ระดับอกก็ต้องสะดุ้งสุดตัว ร่างทะมึนสูงมายืนประชิดใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แสงจากไฟตรงกำแพงบ้านหลังติดกันที่สาดกระทบใบหน้าเขา ทำให้หล่อนตกใจไม่นาน...ผู้ชายคนที่นั่งคู่คนขับในรถคันเมื่อครู่ คนที่ช่วยแตงหวานจากการ์ดร่างใหญ่คนนั้น เขากำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกงยีน ตีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนกับท่าทีของหล่อนอยู่
“คุณมาทำไม”
ญาณินเอ็ดเพราะเขาทำหล่อนตกใจ ที่สำคัญเขาเข้ามาใกล้ขนาดนี้แต่หล่อนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า...คนอะไรช่างเคลื่อนไหวได้เงียบกริบ
“เธออยู่ที่นี่หรือ”
“ใช่ค่ะ”
“ทำไมมันซอมซ่อแบบนี้ หมดปัญญาหาที่ดีๆ อยู่แล้วหรือไง แล้วจะปลอดภัยกับเด็กหรือเปล่า”
เจ้าของบ้านหลังซอมซ่อยืนคอแข็ง ปรายตามองแค่ปลายคางเขา ที่เขาพูดนั่นก็ถูกแล้ว หล่อนมีปัญญาหาที่อยู่ได้แค่นี้จริงๆ แต่อย่างไรก็ไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์ซึ่งหน้า และเขาก็ควรมีมารยาท ระมัดระวังคำพูดให้มากกว่านี้...ที่สำคัญเขามายุ่งอะไรกับ ‘เด็ก’ อีก
ญาณินฉวยประตูรั้วปิดใส่หน้าคนพูดจาไม่ดีบ้าง ใช้กุญแจล็อกจนเรียบร้อย แม้รู้ทั้งรู้ว่ารั้วรอบที่ทำด้วยไม้ระแนงไม่อาจป้องกันการรุกรานจากใครได้ สภาพรั้วทำได้แค่กั้นให้เป็นสัดส่วนเพื่อแบ่งเขตเท่านั้น แต่ก็อยากให้เขาได้เห็นว่าหล่อนไม่พอใจและไม่ต้อนรับเขาเช่นกัน
ไม่ต้อนรับ...เหมือนกับที่หล่อนพาแตงหวานไปพบเขาอยู่สามครั้ง แต่ละครั้งก็ได้แต่ยืนรออยู่หน้าประตูรั้วที่สูงท่วมหัวโดยไม่มีคนในบ้านออกมาพบสักคน
นับจากครั้งนั้นญาณินจึงตัดสินใจได้ว่า เส้นทางของแตงหวานและเขา...พ่อเลี้ยงฉัตรฉายก็ให้จบลง หลานคนเดียวหล่อนเลี้ยงเองได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาญาติฝ่ายพ่อของแตงหวานอีก!
ญาณินนั่งคัดแยกเสื้อผ้าเพื่อเตรียมซักพรุ่งนี้เช้าก่อนเข้าทำงานชดเชยทั้งวัน แค่นึกก็หลุดยิ้มออกมา ขำตัวเองเมื่อนึกถึงค่าจ้างตามวุฒิปริญญาตรีขั้นต้นที่เจ๊หงส์ตั้งให้ แม้จะมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนสองปี แถมได้เงินเดือนมากกว่านี้ก็ตาม แต่หล่อนก็ไม่เคยต่อรองหรือนำมาเป็นเงื่อนไขกับนายจ้างคนใหม่ เพราะมองว่าค่าจ้างที่ได้รับเหมาะสมกับงานและหน้าที่ในตอนนี้ดีแล้ว
จะว่าไปชีวิตของญาณินไม่เคยเป็นเส้นกราฟคงที่ หรือมีแนวโน้มพุ่งขึ้นตามวันเวลาและประสบการณ์อย่างที่หลายๆ คนตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง หล่อนไม่รู้หรอกว่าสิ่งเหล่านี้เรียกว่าการไม่รู้จักทะเยอทะยาน หรือจะเรียกว่าใฝ่ต่ำตามที่พี่สาวเคยนิยามไว้หรือเปล่า
พอนึกถึงมินตรา เรียวปากอิ่มสวยก็เม้มแน่น...ป่านนี้พี่สาวจะนึกถึงแตงหวานกับเธอบ้างไหมนะ
“น้าอ่อน นม”
เสียงเล็กๆ งัวเงียดังใกล้ พร้อมกับบางสิ่งถูกยื่นมาแทบจะจ่อถึงใบหน้า ญาณินผงะออกเพราะตั้งหลักไม่ทัน
หญิงสาวมองตาม ก่อนจะรับขวดนมเปล่าขวดนั้นมาถือไว้เอง แสร้งทำหน้ามุ่ยใส่คนที่เดินเบียดกองผ้ามานั่งจ้องมองเธอ แล้วส่งสายตาอ้อนมาให้
“แตงหวานกินนม” เจ้าตัวบอกย้ำอีกรอบ
“น้าอ่อนจะชงใส่แก้วให้กิน แตงหวานโตแล้ว กินนมกับแก้วน้ำเหมือนน้าอ่อนได้” หล่อนพยายามฝึกหลานสาวให้มีพัฒนาการไปตามวัย แต่เรื่องนี้ดูว่าไม่ง่ายนักหรอก
“ไม่เอา จะกินกับนี่...นี่ของแตงหวาน” แตงหวานยืนยัน พร้อมใช้นิ้วเล็กๆ จิ้มไปยังขวดนมในมือเธอที่เจ้าตัวถือมายื่นให้เอง