บทที่ 3 มีแค่เราสองคน
ร้านอาหารที่ญาณินเลือกเป็นหนึ่งในสองร้านที่อยู่ระหว่างมอลล์และโรงแรมเวียงรวี เป็นร้านอาหารไทย อาหารรสชาติดีและมีชื่ออยู่ไม่น้อย เคยเห็นออกรายการโทรทัศน์อยู่หลายครั้ง โดยเจ้าของเป็นหญิงชราวัยกว่าเจ็ดสิบปีที่ยังดูแลการปรุงอาหารในครัวด้วยตัวเอง ถ้ามีเวลาก็มักออกมาพูดคุยกับลูกค้าด้วย และที่สำคัญร้านนี้มีเก้าอี้สำหรับแตงหวาน รวมถึงบ้านเด็กเล่นที่แตงหวานโปรดปรานนัก
ญาณินมองคนที่วิ่งผ่านประตูรั้วจำลองพลาสติกสีส้มสดที่ล้อมรอบบ้านเด็กเล่นออกมา ซึ่งมีพนักงานของร้านคอยดูแลกลุ่มหนูน้อยในนั้นอยู่ และเธอก็เลือกโต๊ะรับประทานอาหารที่สามารถมองเห็นแตงหวานได้ตลอดเวลา จึงวางใจปล่อยให้หนูน้อยเล่นลูกโป่งอยู่ด้านใน เพราะอยากทดแทนลูกโป่งตรงโถงมอลล์ที่เจ้าตัวร่ำร้องอยากได้เมื่อครู่ใหญ่
คนตัวจ้อยวิ่งปรู๊ดเดียวก็มาถึง เกาะขอบโต๊ะเขย่งเท้ามองอาหารแล้วบอกรัวเร็ว
“น้าอ่อน กิน...แตงหวานกินข้าว”
“ไหนเมื่อกี้แตงหวานบอกน้าอ่อนว่าอิ่มแล้วไงคะ”
ญาณินกระเซ้า ขณะช่วยคนหิวข้าวปีนป่ายขึ้นมานั่งบนเก้าอี้เด็กที่ทางร้านมีพร้อมให้บริการ ปกติแล้วญาณินจะฝึกวินัยเรื่องการกินอยู่ให้แตงหวาน เมื่อสักครู่ก็ให้หนูน้อยกินอิ่มก่อนไปเล่น และเมื่อหมี่ผัดผักกระเฉดที่เจ้าตัวชอบหนักหนาซึ่งปรับรสชาติอ่อนลงเพื่อให้เด็กกินได้มาถึง แตงหวานก็รีบป้อนใส่ปาก แต่กินได้ไม่กี่คำ อาหารพร่องไม่ถึงครึ่งจาน คนอยากเล่นก็รีบวางช้อนลงแล้วขอน้ำดื่ม ก่อนจะปีนลงจากเก้าอี้ เร่งเร้าให้เธอพาไปเล่นในบ้านเด็กที่หมายตาอยู่
แตงหวานตักรับประทานอาหารเองได้ แต่ด้วยวัยที่ยังเด็กนัก จึงหนีไม่พ้นที่จะทำอาหารหกและเลอะ ถ้าเป็นที่บ้านเธอก็ปล่อยให้กินจนอิ่ม แล้วค่อยทำความสะอาดตามทีหลัง แต่พอเป็นร้านอาหารข้างนอก การจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นก็คงไม่ได้ จึงต้องช่วยดูแลหนูน้อยขณะตักป้อนอาหารให้เป็นไปด้วยดี
คราวนี้แตงหวานกินจนหมดจาน แถมยังขอจากจานของเธออีก ใช้เวลานานทีเดียว เจ้าตัวจึงวางมือ ไม่สนใจอาหารบนโต๊ะ ไม่หันมองอีก เป็นสัญญาณว่ากินจนอิ่มแปล้แล้วละ
ญาณินชำระค่าอาหารมื้อนั้นเสร็จก็พาหลานสาวออกจากร้าน ตรงไปเข้าห้องน้ำด้านนอกเพื่อล้างหน้าล้างตาให้หนูน้อย แต่พอเสร็จก็ไม่ยอมขยับตัวไปไหน ทำท่าคอพับคออ่อนแล้วทิ้งตัวพิงซบกับต้นขาของเธอ
“ง่วงแล้วใช่ไหม ตาปรือเชียว เรานี่น้า พอท้องอิ่มหนังตาก็หย่อน”
หญิงสาวอดขำหลานสาวตัวดีออกมาไม่ได้ ขณะจัดการตัวเองไปอย่างทุลักทุเลโดยมีคนตัวจ้อยเกาะติดขาอยู่ เสร็จแล้วก็ช้อนอุ้มขึ้น เธอไม่เสี่ยงที่จะให้แตงหวานเดินออกไปในสภาพสะลึมสะลือแบบนี้ ยิ่งตอนนี้เป็นเวลากว่าหกโมงเย็น แสดงว่าเธอและแตงหวานใช้เวลาอยู่ในมอลล์นานพอสมควร แถมแตงหวานยังเล่นซน ปล่อยพลังกันเต็มที่ในบ้านเด็ก จึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะมีสภาพอย่างที่เห็น
ป้ายรถสองแถวที่จะโดยสารกลับบ้านพักตั้งอยู่ทางด้านหน้ามอลล์ ญาณินจึงต้องเดินกลับทางเดิม ตอนนี้ผู้คนคงหนาตากว่าเมื่อช่วงบ่ายที่เข้ามา การอุ้มแตงหวานพาดบ่าไว้จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอน
การอุ้มเด็กน้อยวัยสองขวบเศษ พร้อมสะพายกระเป๋าส่วนตัว แล้วยังต้องหอบหิ้วเป้สัมภาระของเด็กน้อยกับถุงชอปปิงอีกใบ ในระยะทางเดินสั้นๆ แค่จากมอลล์ไปถึงป้ายรถสองแถวไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถ...แต่ไม่ใช่กับสภาพผู้คนหนาตาเช่นตอนนี้
“โอ๊ย! แย่จริง ตอนซื้อของน้าอ่อนก็ได้ยินเขาพูดว่าจะมีแฟชั่นโชว์ตอนค่ำ เราน่าจะรีบออกมาก่อน มัวแต่กินเพลินจนเลยเวลา นี่จะผ่ากลางงานออกไปยังไง”
ญาณินบ่นพึมพำกับหลานสาวที่หลับฟุบบนบ่า พร้อมกันนั้นก็พยายามซอกแซกเดินผ่านผู้คนที่จับกลุ่มยืนออมองไปทางหน้าเวที
เสียงจอแจมาพร้อมกับกลุ่มคนที่ดูหนาตาเกินกว่าที่คิด เดาไม่ยากว่าแฟชั่นชุดนี้นอกจากแบรนด์เสื้อผ้าที่น่าสนใจ ก็คงมีนางแบบนายแบบคนดัง หรือไม่ก็ศิลปินดารามีชื่อขึ้นโชว์ถึงจูงใจผู้คนได้ขนาดนี้ จะว่าไปโปสเตอร์หน้ามอลล์ก็มีติดอยู่ ญาณินเพิ่งนึกออกว่าตอนเข้ามาก็เห็นอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้อ่านจึงไม่รู้รายละเอียด เพราะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความสนใจ...อย่างน้อยก็ช่วงจังหวะชีวิตตอนนี้
หญิงสาวจดจ่ออยู่กับการอุ้มหลานสาวให้กระชับมือ พร้อมหอบหิ้วสัมภาระไว้ไม่ให้ตกหล่น คิดแต่ว่าจะพาตัวเองให้หลุดรอดจากกลุ่มคนในบริเวณนี้ไปให้ได้ พลันเสียงบนเวทีก็ดังขึ้น...คล้ายว่าถึงเวลาเริ่มงาน เสียงของพิธีกรดังจนทำให้คนบนไหล่ของหล่อนไหวตัวตื่นขึ้นมาจนได้
“ลูกโป่ง...”
ญาณินได้ยินเสียงแว่วๆ ใกล้หู แต่ไม่ชัดนัก จึงไม่ได้สนใจมากไปกว่าความตั้งใจในสิ่งที่กำลังทำ
“ลูกโป่ง...ของแตงหวาน”
“นอนนิ่งๆ นะคนดี อย่าดิ้น เดี๋ยวตกลงไป”
หล่อนตะล่อมบอก หวังให้แม่หนูสงบลง คิดว่าคงตกใจเสียงดังและผู้คนมากมายที่รายล้อมอยู่ ทว่ามันก็ไม่ได้ผล แตงหวานยิ่งดิ้นหนักกว่าเดิม
“ปล่อย...จะเอาลูกโป่ง”
เสียงเล็กๆ กรีดดังขึ้น คราวนี้ญาณินได้ยินชัดหู หันไปดูตามสายตาของหนูน้อย เห็นเป็นลูกโป่งลวดลายสีฟ้าช่อเดิมที่เคยเตะตาเจ้าตัวตอนเข้ามา ลูกโป่งช่อนั้นยังอยู่ที่เดิม และเมื่อมองรวมกับเวที ญาณินจึงเห็นว่าเป็นธีมเดียวกัน...สีฟ้าน้ำทะเล มีลวดลายพลิ้ว
โธ่เอ๊ย! แตงหวานจะเอามาได้ยังไง นั่นมันลูกโป่งประดับงานของเขานะ
ไม่ต้องให้ใครบอก ญาณินก็รู้ว่าความยุ่งยากได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอในวินาทีนี้แล้ว
“แตงหวานไม่ดิ้นค่ะ ไม่เอานะ มันไม่ใช่ของแตงหวาน”
ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งความตั้งใจของหนูน้อยได้ แตงหวานดิ้นสุดแรงจนญาณินถึงกับเซเลยทีเดียว ในสภาพที่แม้ระวังตัวแต่ก็ตั้งหลักไม่ทัน จึงไม่อาจต้านแรงดิ้นและน้ำหนักตัวของหนูน้อยไว้ได้
เหมือนโลกหยุดหมุนชั่วขณะ ญาณินได้แต่มองร่างเล็กของเด็กน้อยวิ่งฝ่าผู้คนตรงไปยังสิ่งที่หมายตา กว่าเธอจะรู้สึกตัว วิ่งตามเข้าไป คนต้นเหตุก็เข้าไปถึงสิ่งนั้นเรียบร้อยแล้ว
“แตงหวานหยุด อย่าดึงนะ”
ญาณินยิ่งตกใจเมื่อเห็นการ์ดของงานจับตัวหนูน้อยไว้ได้ ขณะเจ้าตัวพยายามดึงลูกโป่งลูกหนึ่งออกจากช่อของมัน หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นหลานดิ้นรนในสภาพถูกชูขึ้นกลางอากาศ กลัวเหลือเกินว่าผู้ชายร่างยักษ์คนนั้นจะทำอันตรายหลานรักของเธอ
“คุณวางหลานฉันลงนะ วางลงเดี๋ยวนี้”
ญาณินร้องสั่ง ตรงไปยื้อยุดหลานสาวกลับสู่อ้อมกอดตัวเอง คราวนี้แตงหวานร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรสองมือน้อยก็ยังไม่ปล่อยจากลูกโป่งลูกนั้น...และนั่นก็หมายความว่าการ์ดของงานยังทำหน้าที่ตัวเองไม่สำเร็จ
“ใครปล่อยเด็กเข้ามา!”
เสียงแหบห้วนดังขึ้นและทรงอำนาจพอให้ผู้ใหญ่สองคนหยุดลงได้...แต่ไม่ใช่กับเด็กน้อย
ญาณินหันมองตามแหล่งต้นเสียง พอเห็นหน้าชัดว่าเป็นใคร แทบจะลืมลมหายใจตัวเอง
“หนูอ่อน...หนูแตงอ่อนใช่ไหม”
ญาณินอึกอัก รู้สึกหน้าร้อนผ่าวและเย็บเยียบ นึกสีหน้าตัวเองว่าคงเป็นสีแดงๆ เหลืองๆ สลับกัน คงน่าขำสิ้นดี อยากหายตัวไปพร้อมหลานสาวตัวดีแต่ก็ทำไม่ได้ อยู่ตรงนี้ต่อก็ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรดีที่จะให้สถานการณ์มันไม่ชวนอึดอัดเช่นที่เป็นอยู่
ขณะที่หญิงสาวติดอยู่กับภาวะเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็หมดทางไป แล้วอีกคนก็ก้าวเข้ามา เขาเดินผ่านหล่อนไปหยุดอยู่ใกล้แตงหวานแล้วพูดกับการ์ดคนนั้น
“ปล่อยเด็กให้ผม”
ภาพเบื้องหน้าดำมืดไปหมด เห็นเพียงแผ่นหลังกว้าง ห่างแค่ปลายจมูก...ญาณินบอกตัวเองว่าต้องยืนทรงตัวให้ได้ โดยไม่เข่าอ่อนล้มพับลงไปเสียก่อน เพียงเท่านี้เธอก็ต้องใช้พลังมากโขแล้ว