บทที่ 2 มีแค่เราสองคน
ลงจากรถสองแถว หญิงสาวก็จับจูงมือน้อยเข้าไปใกล้เขตมอลล์ ซึ่งพอเห็นร้านค้าและผู้คนมากมาย แววตากลมดำขลับของเด็กหญิงก็เบิกโต บ่งบอกว่ากำลังตื่นเต้นอย่างเด่นชัด ดวงหน้าจิ้มลิ้มแหงนมองเธอแล้วแย้มยิ้มอย่างซุกซน
ญาณินถึงกับกลั้นยิ้มไม่อยู่ วิญญาณลิงน้อยเริ่มจะเข้าสิงแม่หนูผู้แสนจะเรียบร้อยคนเมื่อกี้ที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ในรถสองแถวมาตลอดทางแล้วกระมัง
“ก่อนเราจะเข้าไปซื้อของ น้าอ่อนกับแตงหวานต้องมีเชือกวิเศษผูกไว้ก่อน ตกลงนะ”
ญาณินโน้มกายคุยกับเด็กหญิง หลังจากพาเดินไปยังซอกพื้นที่ว่างติดกับซุ้มขายกาแฟสด เพื่อไม่ให้ขวางทางคนเดินอยู่
แตงหวานเงยหน้ามองน้าสาว แล้วพยักหน้ารัวเร็ว ดูจะเป็นพันธะสัญญาที่รู้กันระหว่างสองคนดีแล้ว เด็กหญิงยื่นมือออกไปตรงหน้า รอคอยเชือกวิเศษสีชมพูที่มีปลอกนุ่มกระชับสวมกับข้อมือของตนเอง ส่วนอีกข้างก็สวมไว้กับข้อมือน้าสาว
ญาณินยกมือข้างที่มีปลอกสวมขึ้น แล้วมองยิ้มๆ หวังจะให้เด็กหญิงมองตาม
“เรามีเชือกวิเศษแล้ว ใครก็แยกน้าอ่อนกับแตงหวานไม่ได้ เวลาแตงหวานเดินไปทางไหนก็จะมีน้าอ่อนอยู่ด้วย หรือถ้าน้าอ่อนเดินซื้อของ แตงหวานก็จะอยู่ข้างๆ น้าอ่อน เราไม่หายไปไหน…แตงหวานชอบไหมคะ”
“ชอบค่า แตงหวานชอบเชือกวิเศษ”
เสียงหัวเราะคิกนั้นทำให้หญิงสาวที่ยืนทำงานอยู่ในซุ้มขายกาแฟสดต้องมองตาม จดจ่อกับเสียงสนทนาของสองหญิงต่างวัยที่พอจะจับใจความได้ ในตอนแรกเธอยอมรับว่าสงสัยและอยากรู้ว่าพวกเขามีอะไรกันถึงทำท่าซุบซิบดูเป็นความลับนัก แต่พอเห็นภารกิจที่ทำเสร็จ ปรากฏพร้อมรอยยิ้มแป้นแล้นของเด็กหญิง ก็ทำให้เผลอยิ้มตามอย่างอดไม่ได้
“อุ๊ย! ผูกลูกสาวเป็นลูกหมาเชียว ซนมากหรือคะ” เสียงหวานใสคล้ายปรานีอย่างจริงใจ แต่ถ้อยคำนั้นกลับทำให้นลินสะดุ้ง รีบหันมองเจ้าของเชือกวิเศษคู่นั้นทันที
พอเห็นสีหน้างุนงงของเด็กหญิงขณะยกข้อมือเล็กที่มีปลอกสวมขึ้นมองแล้วเธอก็ขัดใจ เธอเข้าใจและรู้ถึงเจตนาที่จะป้องกันความปลอดภัยให้กับเด็กหญิงของหญิงสาวคนนั้น ไม่ควรเลยที่จะมีใครทักให้เด็กน้อยเขว
“เชือกวิเศษของคุณแม่กับลูกสาวค่ะพี่มะนาว เห็นไหม สีชมพูน่ารักมาก” นลินโพล่งขัดโดยไม่ได้นึกหน้านึกหลัง แค่อยากช่วยสองแม่ลูกไม่ให้เสียความรู้สึกกับคำพูดที่ไม่ผ่านการคิดก็เท่านั้น “นี่พี่ลินจะถามคุณแม่เหมือนกันว่าซื้อจากไหน สวยจัง พี่ลินอยากได้ด้วย”
สีหน้าเด็กหญิงยังฉายชัดว่างุนงงอยู่ แถมยังซุกกายแนบกับหญิงสาวที่อ้าปากแล้วหุบเหมือนอยากพูดแต่ไม่ยอมพูดออกมาเข้าไปอีก นลินทำหน้าเหลอหลา มองสองหญิงต่างวัยคู่นั้นกับสาวรุ่นพี่ที่ถูกเธอหักหน้าสลับกันอย่างเก้อๆ ...อย่าบอกนะว่าสถานการณ์ทำดีแบบเสี่ยงตายกับรายได้เข้ากระเป๋าของเธอคราวนี้ ผลตอบแทนคือถูกปล่อยให้เก้ออยู่คนเดียว
“อ่อนซื้อจากที่นี่แหละค่ะ แตงหวานเป็นหลานของอ่อน แตงหวานชอบสีชมพู น้าอ่อนก็ว่าสวย เห็นไหมคะ พี่ลินก็ว่าสวยด้วย”
อ๋อ! เป็นน้าหลานกัน...นลินปล่อยลมหายใจพรูทีเดียว คราวนี้เด็กหญิงแตงหวานก็พยักหน้ารัวสนับสนุนตาม แถมยิ้มให้เธอเสียอีก เข้าใจแล้วว่าคงงงที่ถูกโมเมให้เป็นแม่ลูกกัน
ญาณินขอบคุณสาวสวยในซุ้มขายกาแฟสด โดยไม่ลืมหันไปยิ้มให้กับสาวใหญ่ที่ทักเสียจนเธอพูดไม่ออก ตามด้วยการบอกลา แม้จะไม่รู้จักกันและเพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ตาม
ดูท่าว่าสองคนนั้นจะรู้จักกันดี และญาณินก็รู้ดีว่าสาวในร้านกาแฟตั้งใจพูดขัดด้วยหวังจะช่วยเธอและแตงหวาน เธอจึงอยากตอบแทน คิดว่าคงช่วยดึงบรรยากาศดีๆ ของทั้งสองคนให้กลับมาได้บ้าง ไม่อยากให้ใครต้องมาขัดใจกันเพราะเธอและหลานสาวเป็นต้นเหตุ...โดยเฉพาะคนที่หวังดีกับเธอ
ชอปปิงมอลล์ขนาดไม่ใหญ่ เป็นอาคารสองชั้น สร้างติดกับโรงแรมเวียงรวี มีกำแพงโปร่งกั้น ความสูงต่ำกว่าระดับสายตาพอให้เป็นสัดส่วน ซึ่งก็ไม่ได้แน่นหนาอะไรเพราะเป็นเจ้าของเดียวกัน โดยปกติแล้วมอลล์แห่งนี้จะมีเสื้อผ้าแบรนด์เนมดีไซน์ไม่หวือหวานัก และราคาน่าคบหาอยู่ไม่น้อย ถือว่าตีตลาดระดับกลางถึงสูงได้ดีเยี่ยม ตอนทำงานเป็นพนักงานบัญชีให้กับบริษัทเหมืองทองคำ หล่อนมีเงินเดือนใช้จ่ายพอคล่องตัว ญาณินก็มาเลือกซื้อเสื้อผ้าจากที่นี่ไปใช้อยู่บ่อยๆ
สำหรับญาณินแล้ว การจ่ายเพิ่มอีกนิดแต่ได้เสื้อผ้าคุณภาพดี ตัดเย็บเข้ารูปเข้าทรง ใส่แล้วเสริมบุคลิกและความมั่นใจ แถมเนื้อผ้ามักจะดี ทนทานใช้ได้นาน และนั่นก็คุ้มค่าที่จะต้องจ่ายแพงขึ้น อีกเหตุผลคือหล่อนไม่นิยมเปลี่ยนสไตล์ตัวเองตามแฟชั่นที่เข้ามาในแต่ละฤดูกาล หล่อนสนุกที่จะเลือกเสื้อผ้าสวมใส่ให้เข้ากับตัวเองมากกว่า จึงถือว่าเสื้อผ้าของใช้ในชอปปิงมอลล์ของโรงแรมเวียงรวีตอบโจทย์หล่อนได้ดี
ด้วยความที่เป็นคนพิถีพิถันในการเลือกของใช้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอระยะหลังรายได้และรายจ่ายตึงตัว การซื้อของใช้ส่วนตัวแต่ละทีจึงต้องคิดอยู่หลายตลบ สุดท้ายก็มักจบที่คำว่าความจำเป็นยังไม่มากพอ เก็บไว้ก่อน
ค่าใช้จ่ายของญาณินส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายสำหรับแตงหวาน แค่เลือกหาตามความจำเป็น เช่น เสื้อผ้า นม ของกินของใช้สำหรับเด็ก ก็ทำให้บางเดือนแทบไม่เหลือเงินให้ทำอย่างอื่นแล้ว
แต่ก็เป็นชีวิตที่หล่อนเลือกแล้วและมีความสุขดี แตงหวานเป็นลูกของมินตรา พี่สาวโดยสายเลือดเพียงคนเดียวของหล่อน แตงหวานจึงถือเป็นคนในครอบครัว เป็นหลานในไส้ จึงเป็นธรรมดาที่หล่อนจะรักและทุ่มเทให้ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอยู่แล้ว
ไม่เหมือนคนบางคน...แม้แต่หน้าของแตงหวาน เขาก็ยังไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่าหันมามองเลยสักครั้ง
เมื่อรู้สึกถึงแรงกระตุกจากมือน้อยที่กุมอยู่ ญาณินถึงได้หยุดความคิด ก้มมองดวงหน้าจิ้มลิ้มที่แหงนขึ้น
“สวย แตงหวานจะเอา”
ญาณินมองตามมืออีกข้างของหนูน้อยที่ชี้ไปยังลูกโป่งลวดลายสีฟ้าหลายลูกหลายขนาด โดยมีเชือกผูกเป็นช่อใหญ่เคลื่อนไหวลอยชิดผนังกระจกของมอลล์
“น้าอ่อนว่าเราไปดูเสื้อกันหนาวสวยๆ ตรงโน้นดีกว่านะคะ สวยเหมือนกับลูกโป่งเลย”
“จะเอาลูกโป่ง...นะ”
ดูว่าเด็กน้อยไม่ได้สนใจคำเชิญชวน กลับยืนยันความตั้งใจเดิมด้วยเสียงอ่อนๆ ที่มาพร้อมแววตาออดอ้อนจนหัวใจของญาณินอ่อนยวบ ไม่ต่างจากทุกครั้งที่ถูกหลานสาวน็อกด้วยกลยุทธ์นี้
แต่วันนี้หล่อนต้องใจแข็ง เพราะอย่างไรก็เอาลูกโป่งเหล่านั้นมาให้หลานไม่ได้
“แตงหวานคนดี ลูกโป่งไม่ใช่ของเรา ปล่อยลูกโป่งไว้ตรงนี้ คนอื่นจะได้เห็นด้วย เห็นเหมือนที่แตงหวานเห็น เราไปซื้อของก่อน ซื้อเสร็จแล้ว น้าอ่อนจะพาแตงหวานไปดูใกล้ๆ ขอเขาให้แตงหวานจับลูกโป่งด้วย ดีไหมคะ”
หนูน้อยละสายตาจากน้าสาวไปมองลูกโป่งอีกรอบ ทอดสายตาละห้อยอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนพยักหน้ารับ หากคิ้วบางยังมุ่นอยู่ แถมปากจิ้มลิ้มยังยื่นออก บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวจำใจยอมทำตามนะ
ญาณินพาแตงหวานเข้าไปด้านใน แม้จะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน แต่ผู้คนที่มาเพื่อจุดประสงค์เดียวกับเธอก็หนาตา ขณะเลือกเสื้อกันหนาวสำหรับเด็ก ซึ่งนานๆ ครั้งถึงจะมีเข้ามาลดราคา ยิ่งยังอยู่ในช่วงฤดูกาลด้วยแล้ว ถือว่าเป็นนาทีทองทีเดียว
เสื้อตัวเล็กจิ๋วสีสันสดใส ทำให้ญาณินเพลินทีเดียว ปล่อยหนูน้อยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ให้เป็นหน้าที่ของเชือกวิเศษสีชมพูคอยกันเด็กหญิงไม่ให้วิ่งออกห่างตัวไปไกล
“ค่ำๆ จะมีแฟชั่นเสื้อผ้าผู้ใหญ่บนเวทีข้างนอก เธอจะรอดูไหม” เสียงหญิงสาวที่เลือกเสื้อผ้าเด็กบนราวแขวนใกล้กับญาณินถามผู้หญิงที่ยืนกอดอก คล้ายว่าแค่มาเป็นเพื่อนกัน
“ไม่ละ ไม่ใช่แบรนด์ที่ฉันสนใจ”
“แต่ก็ไม่กระจอกนะจ๊ะ แบรนด์นี้ขายอยู่ในร้านค้าของโรงแรมเวียงรวีด้วย ไม่ได้มีแต่ในมอลล์”
“ฉันรู้ ก็สินค้าคัดเกรดมาแล้วไง เหลือทิ้งจากร้านในโรงแรมก็มาใส่กระบะขายคนอย่างเธอในนี้”
ถ้อยคำกระเซ้าเจือจิกกัดของสองสาว ญาณินเพียงฟังเฉย จดจ่อแต่จะเลือกเสื้อกันหนาวให้หนูน้อยต่อไป เลือกได้ที่พอใจก็ถามหาความเห็นของคนใส่ ก็เห็นว่าพยักหน้ารับอยู่ร่ำไป ไม่ว่าเธอจะส่งตัวไหนไปให้
“น้าอ่อนเลือกสีฟ้าสลับขาวตัวนี้แล้วนะ” หล่อนชูเสื้อไหมพรมเนื้อนุ่ม ผ้าหนาพอให้อบอุ่น ไซซ์สำหรับเด็กหญิง หลังจากตรวจความเรียบร้อยของตะเข็บเสื้อผ้าจนทั่ว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนไหนชำรุด จากนั้นก็พาดกับแขนตัวเองไว้ ก่อนหันไปหยิบอีกสองตัวให้ดู “ทีนี้น้าอ่อนให้แตงหวานเลือกอีกตัวหนึ่ง หนูชอบสีไหนคะ สีชมพู หรือว่าตัวนี้ สีเขียว”
“ชอบตัวนี้” โดยไม่ลังเล มือเล็กป้อมของเด็กหญิงยื่นมาคว้าเสื้อหนาวสีชมพูตัวจิ๋วจากน้าสาวไปกอดอย่างหวงแหน
ญาณินยิ้ม กะไว้อยู่แล้วเชียวว่าคนตัวจ้อยที่โปรดสีชมพูมากกว่าอื่นใดไม่มีทางมองเสื้อกันหนาวสีอื่นอย่างแน่นอน แม้ใจจริงเธอจะชอบเสื้ออีกตัวมากกว่าเพราะเนื้อผ้านุ่มละเอียดกว่า แต่ก็อยากตามใจหลานสาว อยากให้เจ้าตัวได้เลือกของใช้ของตัวเองด้วย
หญิงสาวต้อนคนที่กอดเสื้อสีชมพูไว้กับตัวแน่น เดินไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์เพื่อชำระเงิน ซึ่งกว่าเจ้าตัวจะยอมปล่อยเสื้อตัวสวยให้พนักงาน คนเป็นน้าสาวก็ต้องบอกเหตุผลพร้อมยืนยันมั่นเหมาะว่าเสื้อตัวนั้นจะกลับมาหาแตงหวานอีกแน่นอน นั่นละเจ้าตัวถึงยอมปล่อยให้ห่างจากมือ และไม่นานเกินรอ แตงหวานก็ได้เสื้อตัวสวยที่บรรจุลงในถุงเรียบร้อยกลับมากอด พร้อมกับที่ญาณินชำระค่าใช้จ่ายเสร็จเช่นกัน
“แตงหวานหิวหรือยังคะ น้าอ่อนว่าเราหาของอร่อยที่นี่กินกันดีกว่า ไม่ต้องหิ้วท้องกลับไปหุงข้าวกินที่บ้านแล้วนะ”
“กินค่ะ หิว หิว”
เด็กหญิงยิ้มเผล่อารมณ์ดี ตอบรับในทันที ซึ่งญาณินไม่แน่ใจหรอกว่าเจ้าตัวหิวจริงหรือเปล่า หรือแค่อารมณ์ดีกับเสื้อใหม่ในอ้อมกอด เลยพร้อมตอบรับไปซะทุกอย่าง