บทที่ 1 มีแค่เราสองคน
ใกล้จะครบสามเดือนแล้วที่ญาณินลาออกการเป็นพนักงานบัญชีในที่ทำงานเก่า ซึ่งเป็นสำนักงานเหมืองแร่ทองคำที่ตั้งอยู่ริมชายแดนเขตพม่ากับเมืองเชียงราชมายังร้านวัสดุก่อสร้างแห่งนี้ ร้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งเมือง
เกือบสามเดือนเช่นกันที่เธอหอบหิ้วหลานสาวออกจากบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ที่เคยอาศัยมาตั้งแต่จำความได้มาอยู่บ้านเช่าใกล้กับที่ทำงานใหม่แทน
หญิงสาวจัดเก็บเอกสารแล้ววางตรงมุมโต๊ะด้านหนึ่ง เมื่อนาฬิกาบนฝาผนังห้องทำงานที่กั้นเป็นสัดส่วนอยู่ด้านหลังร้านบอกว่าใกล้บ่ายสามโมงแล้ว ซึ่งได้เวลาไปรับหลานสาวที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน
แม่หนูแตงหวานเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ญาณินตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางการทำงาน เธอตั้งใจไว้อยู่แล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งคงต้องกลับมาอยู่กับหลานกันสองคน
ญาณินไม่อาจหมกตัวอยู่ในสำนักงานเหมืองแร่ทองคำกลางป่านั้นได้นานหรอก แม้เงินเดือนจากการเป็นพนักงานบัญชีของที่นั่นจะสูงกว่าการเป็นลูกจ้างร้านแห่งนี้กว่าสองเท่าก็ตาม เธอจะทิ้งแตงหวานไว้ได้อย่างไร ถ้าหลานไม่ได้อยู่กับแม่ผู้ให้กำเนิดแล้ว ก็ควรเป็นน้าสาวอย่างเธอที่ต้องคอยอุปการะเลี้ยงดูแทน
ทว่าการลาออกจากงานครั้งนั้นมันช่างประจวบเหมาะที่เรื่องราวซึ่งเธอเคยทำลงไปถูกเปิดเผยพอดี มันน่าอายอยู่หรอกกับการทำตัวเป็นสายลับ คอยขับรถตามรัชภาคย์ผู้เป็นนายจ้างที่เพิ่งแต่งงาน คอยตามสืบเรื่องของเขา ถึงจะไม่ใช่เพื่อตัวเอง อีกทั้งเธอไม่ได้เต็มใจและไม่เคยเห็นด้วยเลยที่ต้องทำเรื่องน่าอายตามคำสั่งของพี่สาว...แต่ใครจะรู้ความจริงข้อนี้กันล่ะ
ป่านนี้ใครๆ ก็คงเข้าใจไปแล้วว่าเธอชิงลาออกเพราะหนีอาย ยอมย้ายออกจากงานมั่นคงและมีอนาคตกว่ามาเป็นลูกจ้างรายวันในร้านค้าเล็กๆ แห่งนี้
ญาณินถอนหายใจ บอกตัวเองเป็นครั้งที่ร้อยว่าช่างเถอะ อย่าไปคิด อย่าสนใจเรื่องเก่าๆ ถึงเชียงราชจะเป็นเมืองเล็ก แต่ความหลากหลายของผู้คนยังมีอยู่มาก ความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมยังมีให้เห็น ลูกจ้างรายวันที่อาศัยอยู่ในบ้านเช่าของย่านชุมชนเก่าแก่อย่างเธอ คงไม่มีโอกาสเดินชนกลุ่มคนชั้นสูงหรือเศรษฐีมีเงินกลุ่มนั้นหรอก
ถึงเรื่องแย่ๆ จะดันมาเกิดขึ้นกับเธอ แต่ไม่ว่าอย่างไรญาณินก็เลือกที่จะปักหลักอยู่ในเชียงราชต่อ แม้สองคนน้าหลานจะแทบไม่เหลือใครในเมืองนี้แล้วก็ตาม
เรียวปากอิ่มเหยียดแย้มออก เมื่อนึกต่อว่าอันที่จริงไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก ทั้งเธอและแตงหวานก็หาคนที่อยากเป็นญาติไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ
ร่างเพรียวระหงลุกเดินออกจากห้องทำงาน ด้วยความสูงร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรกับส่วนสัดเหมาะเจาะกลมกลึง จึงดูงดงามอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงมี แต่มักถูกพรางด้วยแจ็กเก็ตตัวใหญ่อยู่เสมอ
“กลับแล้วหรืออ่อน” เสียงทักนั้นทำให้คนที่ก้มหน้าก้มตาย่างเท้าต้องเงยขึ้นสบตา แล้วยิ้มรับ
“ค่ะเจ๊หงส์ โรงเรียนแตงหวานใกล้เลิกแล้ว วันนี้อ่อนขอไม่เข้าร้านนะคะ จะพาแตงหวานไปซื้อของค่ะ”
“จ้ะ พี่จำได้ อ่อนบอกไว้แล้ว แต่อย่าลืมละ พรุ่งนี้วันเสาร์ต้องมาทำชดให้พี่ทั้งวันนะ”
ถ้อยวาจาฉะฉาน ฟังหวานหูจากเถ้าแก่เนี้ยทำให้ลูกจ้างสาวได้แต่ยิ้มรับ
“ไม่ลืมค่ะ อ่อนไปนะคะ”
ญาณินเดินออกจากร้านวัสดุก่อสร้างที่ดำเนินกิจการมาสามรุ่นแล้ว แถบนี้ถือเป็นย่านชุมชนเก่าของเมืองเชียงราช ตั้งแต่จำความได้เธอก็เห็นร้านค้าแห่งนี้แล้ว เมื่อการกลับมายังบ้านเกิดหลังจากที่จากไปตั้งแต่สิบขวบจนเรียนจบระดับชั้นปริญญาตรีในกรุงเทพฯ ตัวเมืองที่ถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอย่างเชียงราชจึงดูแปลกตาสำหรับเธอ
ความวังเวง เดียวดาย และเหงาจึงเกิดในใจเสมอ ญาณินไม่คุ้นเคยกับบ้านเกิดตัวเองเสียแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เปลี่ยนแม้กระทั่งคนในครอบครัวของเธอ
การได้เห็นสิ่งที่ยังหลงเหลือให้คุ้นตาชินใจ จึงเหมือนได้พบเพื่อนเก่า ได้สิ่งคุ้นเคยกลับมา เมื่อมีเหตุต้องหอบหิ้วหลานสาวออกจากบ้าน ญาณินจึงตัดสินใจในทันทีว่าจากนี้ไปย่านนี้จะเป็นที่พักพิงของเธอกับหลานสาว
ที่สำคัญนอกเหนือจากความอุ่นใจจากความคุ้นเคยเก่าก่อนแล้ว ค่าเช่าบ้านชั้นเดียวของญาติห่างๆ ของนายจ้างก็อยู่ในกำลังที่เธอเอื้อมถึง
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กห่างจากที่ทำงานประมาณห้าร้อยเมตร เดินไม่กี่นาทีก็ถึง นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอเลือกปักหลักอยู่ย่านนี้ เพราะทุกอย่างดูลงตัวดีนั่นเอง
เด็กหญิงตัวน้อยในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีชมพูกับเลกกิ้งสีเข้าชุดกัน สวมทับด้วยเอี๊ยมกระโปรงสั้นสีน้ำเงิน หนูน้อยเปิดรอยยิ้มกว้างทันทีที่เห็นเธอเดินผ่านประตูรั้วเข้าไป เจ้าตัวรีบผละจากวงล้อมเพื่อนที่เล่นกันอยู่แล้ววิ่งมาหาอย่างไม่รอช้า ไม่วายที่ญาณินต้องจูงมือพากลับไปร่ำลาคุณครูอีกรอบ
“อ่อนมารับแตงหวานก่อนเวลาค่ะคุณครู” ญาณินยกมือไหว้ทักทายครูสาวที่กำลังดูแลเด็กในห้องประมาณ 6-7 คน แล้วบอก
“ได้ค่ะน้องอ่อน ครูหมิวบอกพี่ไว้แล้ว ว่าแต่วันนี้จะพาหลานไปไหนกัน”
ครูประจำชั้นของแตงหวานถามต่ออย่างคุ้นเคย พร้อมกับส่งกระเป๋าเป้ใส่ข้าวของส่วนตัวของเด็กหญิงให้
“จะพาไปชอปปิงค่ะ เข้าหน้าหนาวแล้ว เสื้อหนาวมีอยู่สองตัว ซักไม่ทันแล้วค่ะ วันนี้ที่มอลล์มีงานลดราคาวันสุดท้าย อ่อนไม่อยากรอจนถึงเวลาเลิกงาน กลัวว่าคนจะเยอะ พาแตงหวานไปเบียดคนเกรงจะไม่สะดวก ว่าแต่บอกเหตุผลไปอย่างนี้แตงหวานคงไม่ถูกหักคะแนนใช่ไหมคะ”
“อุ๊ย! ไม่ต้องห่วงค่ะ คนนี้เขามีคะแนนพิศวาสตุนไว้เยอะ ว่านอนสอนง่าย ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน แค่สองขวบก็ทำอะไรเองได้เยอะแล้ว เก่งทีเดียว น้องอ่อนเลี้ยงหลานได้ดีค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ แตงหวานเป็นเด็กเลี้ยงง่าย อารมณ์ดี ไม่งอแง อ่อนไม่เคยเหนื่อยกับแกเลยค่ะ”
“ดีค่ะ ดีแล้ว”
เจ้าของคำชมมองแตงหวานอย่างปรานี แววตาคู่นั้นมีความเวทนาเจืออยู่ ณาณินมองเห็นเช่นนั้นก็ตัดสินใจบอกลา แล้วให้หลานสาวไหว้ลาตาม ก่อนจับจูงมือน้อยๆ เดินออกมา
คนตัวจ้อยกระโดดเหย็งๆ อย่างร่าเริง เคล้าเสียงเพลงที่ฮัมออกมาไม่เป็นภาษานัก ทำให้ญาณินต้องยิ้มตาม
หน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีป้ายรอรถเข้าเมืองอยู่ ถึงจะต้องรอนานนับสิบนาที แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับแม่หนูแตงหวาน เมื่อรถสองแถวแล่นมาจอด ร่างเล็กก็ปีนป่ายขึ้นด้วยแรงช่วยจากน้าสาวแล้วเดินนำเข้าไปด้านในอย่างรู้งาน
เนื้อนิ่มกรุ่นกลิ่นแป้งเด็กของคนนั่งซ้อนตักสร้างพลังใจให้ญาณินได้เสมอ เธอก้มลงสูดหอมพวงแก้มยุ้ยนั้นเต็มรัก
“ไปไหน...น้าอ่อนไปไหน”
“ซื้อของค่ะ วันนี้มอลล์ข้างโรงแรมเวียงรวีมีเทศกาลลดราคาเสื้อผ้าของใช้เยอะแยะ น้าอ่อนว่าจะซื้อเสื้อกันหนาวตัวใหม่ให้แตงหวาน แล้วก็พวกของใช้ในบ้านเราด้วย”
เสียงพูดคุยคล้ายกับว่าคู่สนทนาเป็นผู้ใหญ่ที่รู้ประสาดี แม่หนูน้อยพยักหน้าหงึกๆ ทำทีว่าเข้าใจในทุกคำ ญาณินยิ้มเอ็นดู ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อรถแล่นเร็วขึ้นเรื่อยๆ