บทนำ ไม่ต้อนรับ
บ้านกึ่งตึกสีขาวเด่นตระหง่านกลางพื้นที่กว้าง คะเนด้วยสายตาที่มองผ่านประตูรั้วอัลลอยเข้าไปว่าคงไม่ต่ำกว่าสิบไร่นั้นดูเงียบสงบ ค่อนไปทางวังเวงตามความรู้สึกของคนเฝ้ามองจากด้านนอกที่ความหวังริบหรี่ลงทุกที
หญิงสาวผิวขาวผ่องในชุดเสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยแจ็กเก็ตตัวใหญ่สีน้ำตาลที่เกือบจะพรางกายได้ดี หากท่อนล่างกลับเป็นกางเกงยีนเข้ารูปสีดำที่เน้นกระชับ จนเห็นว่าภายใต้เนื้อผ้านั้นเป็นเรียวขาได้สัดส่วนงดงามและกลมกลึงน่ามองเสียแทน
หล่อนผละจากประตูรั้วใหญ่ หลังจากที่ยืนเกาะแล้วมองเข้าไปอยู่หลายนาที หันไปทางด้านซ้ายมือ เมื่อมองไกลๆ จะเห็นว่าหล่อนกำลังพูดบางอย่าง แต่เนื่องจากในทิศทางตรงนั้นมีพุ่มพุดแก้วปลูกจนแน่น จึงไม่อาจรู้ว่าคู่สนทนาของหล่อนเป็นใคร...
“ผู้หญิงคนนั้นมาอีกแล้วหรือคะเฮีย”
เสียงถามทำให้ผู้ชายร่างสูงที่ยืนมองผ่านทางหน้าต่างออกไปนั้นผ่อนลมหายใจยาว เขาไม่ตอบ แต่ถอยมานั่งบนโซฟาที่มีถ้วยกาแฟวางไว้ มันกำลังส่งกลิ่นโชยหอม เพียงแค่นี้ก็ดึงความสนใจเขาออกจากภาพเมื่อครู่นั้นแล้ว
“เฮียนะเฮีย เตือนก็ไม่เคยฟังว่าอย่าไปยุ่งกับคนบ้านนั้น แล้วเห็นไหม ตุ๊กแกดีๆ นี่เอง เกาะเหนียวหนึบหนับ ตั้งแต่พี่สาวจนถึงน้องสาว”
“บ่นเป็นยายแก่ไปได้ เอากาแฟมาให้แล้วมีธุระอะไรอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ เห็นแม่ชงกาแฟเสร็จแล้ว แต่เด็กในครัวไม่ว่าง มดกลัวมันจะเย็นชืด เลยเอามาให้แทน”
“ขอบใจ ไปทำงานของเธอได้แล้ว”
คำไล่กลายๆ ทำให้อีกคนค้อนตากลับ สะบัดกายก้าวฉับๆ แต่ไม่กี่ก้าวก็หยุดลงแล้วหันกลับมามองด้วยแววตาสงสัย ก่อนตัดสินใจถามถึงสิ่งที่คาใจอยู่
“เฮียรู้ใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แล้วมาหาเฮียทำไม”
คำตอบคือความเงียบนิ่ง แถมด้วยท่าทีเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย แต่ก็ทำให้คนถามใจชื้นขึ้นมาแล้วละ
ฉลาดให้คงเส้นคงวาเถอะ อย่าตกหลุมที่แม่ผู้หญิงพวกนั้นขุดล่อเหมือน...น้าตัวเองแล้วกัน
“อ้อ! เกือบลืม เลขาฯ คุณอรุณวดีโทร. มาตั้งแต่เช้า บอกว่าถ้าวันนี้เฮียสะดวกก็ไปพบเจ้านายเธอได้ค่ะ มดคิดว่าเธอคงโทร. มาแจ้งเฮียโดยตรงอีกที”
ฉัตรฉายเลิกคิ้ว ประหลาดใจในที เมื่อนึกถึงเจ้าของโรงแรมเวียงรวีที่เมื่อวานยังปฏิเสธการขอเข้าพบเพื่อคุยงานด้วยโดยตรง โดยให้เหตุผลว่าติดนัดกับลูกค้าคนสำคัญจึงไม่สะดวกรับรองเขา
“งั้นหรือ...เดี๋ยวฉันติดต่อกลับเอง”
ทางด้านคนที่อยู่นอกรั้วบ้าน เธอมั่นใจแล้วว่าคนที่ต้องการพบนั้นไม่สนใจและไม่ยอมรับรู้การมาของเธอแน่นอนแล้ว หญิงสาวหันมองคนที่ยังนั่งนิ่งๆ อย่างแสนน่ารักอยู่บนท่อนไม้ที่ใช้แทนเก้าอี้ซึ่งวางชิดกับกำแพงแล้วถอนใจ ผละจากประตูอัลลอยมานั่งคุกเข่า บอกกับเพื่อนร่วมทางตัวจ้อย
“คนบ้านนี้ใจร้าย น้าอ่อนเห็นนะว่าเขารู้ว่าเรามาหาตั้งแต่เมื่อวาน จนวันนี้ก็ยังไม่ให้เราพบอีก”
คู่สนทนาของเธอเบิกตากลมโตขึ้น ไม่รู้ว่าแม่หนูวัยสองขวบจะเข้าใจสิ่งที่น้าสาวบอกแค่ไหน แต่ผลที่ได้รับก็คือดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มพยักหงึกๆ ให้รู้ว่าเห็นตามกัน
“เมื่อกี้รถของเขาออกไปทางประตูโน้น เขาหนีเรา น้าอ่อนรู้นะว่าปกติเขาออกทางประตูนี้ เขาตั้งใจหลบเรา”
ญาณินว่าเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะยืดกายยืนขึ้น กี่ครั้งกี่หนที่เธอเพียรมาขอพบคนที่เป็นเจ้าของสถานที่นี้ เธออยากพูดคุย อยากเคลียร์ปัญหาที่รุมสุมอยู่ให้มันคลี่คลายออกไป แต่ดูเขาจะไม่ยอมให้ความร่วมมือด้วย
ญาณินรู้แก่ใจว่าพ่อเลี้ยงฉัตรฉายไม่อยากเกี่ยวข้องกับเธอและทุกคนในครอบครัวอีก ในส่วนตัวเธอเองนั้น...ถ้าเลือกได้ก็คิดไม่ต่างจากเขาหรอก
หญิงสาวก้มมองหลานสาวตัวน้อยที่แหงนมองเธอหน้าตั้งอยู่ รอยยิ้มไร้เดียงสาเรียกแรงฮึดได้ไม่ยากนัก
“ถึงยังไงเราก็ไม่ยอมแพ้ วันนี้เขาไม่ให้พบ แต่วันหน้าก็ยังมี มันต้องเป็นวันของเราสักครั้งแหละ”
และเมื่อน้าสาวยื่นมือให้ แม่หนูก็ยื่นมาจับไว้
“ไปคนเก่ง ลุกได้แล้ว กลับบ้านกัน ถ้าสายแดดจะร้อน เดี๋ยวไม่สบาย”
“ไป กลับ...กลับบ้านกัน”
เสียงใสทวนอย่างเริงร่า แววตาของแม่หนูเปล่งประกายอย่างรู้ความ เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้นานๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตให้วิ่งเล่นหรือหยิบจับอะไรใกล้มือ แม่หนูก็นึกเบื่อเหมือนกัน แค่รู้ว่าจะได้กลับบ้าน...บ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ มีลานกว้างให้วิ่งเล่น มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาตรงหน้าบ้าน หนูน้อยก็ดีดกายขึ้น ให้ความร่วมมืออย่างไม่อิดออด
หากว่า ‘กลับบ้านกัน’ คำนั้นของคนตัวจ้อยกลับกระแทกใจญาณินอย่างจัง ดวงตาคู่สวยหม่นวูบทันทีที่เห็นท่าทางลิงโลด เด็กน้อยท่องคำซ้ำๆ พร้อมกับขยับก้าวเล็กออกเดินไปพร้อมเธอ...