บทที่ 8
เขามาถึงงานบอลที่จัดขึ้นเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงซีซิลแห่ง แซง-ซีเมียง ช้ากว่าแขกอื่นที่ได้รับเชิญทุกคนเกือบสองชั่วโมง
โดยความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ได้คิดอยากจะมาร่วมงานงานนี้เลย แต่เป็นเพราะกู๊ดอินัฟนั่นเอง ที่จัดเตรียมเสื้อผ้าชุดราตรีสีดำ พรั่งพร้อมด้วยเสื้อกั๊กสีเดียวกันและยังเสื้อเชิ้ตกับเนคไทและถุงมือสีขาวไว้ให้อย่างเรียบร้อย ทั้งยังยืนรอรับใช้เผื่อว่าเขาจะต้องการความช่วยเหลือ เช่นต้นห้องที่ดีทั้งหลาย เมื่อไม่อาจปฏิเสธทั้งคำสั่งและความหวังดีได้ เขาก็จำต้องลงมือแต่งตัวแล้วก็ก้าวขึ้นรถม้าที่เทียบบันไดรออยู่ จนในที่สุดก็มาถึงสถานที่จัดงานราตรีสโมสรดังกล่าว
เจมส์ก้าวเข้าไปในห้องบอลรูม แล้วก็พบกับแขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติที่ได้รับเชิญมาร่วมงาน ชุมนุมกันอยู่คับคั่ง ทั้งยังสังเกตเห็นว่าบรรดาสุภาพบุรุษล้วนอยู่ในชุดราตรีเต็มยศ ส่วนสุภาพสตรีนั้นหรูหรางดงามอยู่ในชุดราตรี ประดับเครื่องเพชรแพรวพราวอย่างไม่ยอมน้อยหน้ากัน
สุดปลายห้องบอลรูม คือที่ตั้งของวงออเคสตร้าที่กำลังบรรเลงเพลงวอลซ์อันแสนเสนาะ โคมไฟระย้าย้อยลงมาจากเพดานห้องที่ได้รับการตกแต่งไว้ด้วยไม้ดอกไม้ใบจนกระทั่งถึงประตูฝรั่งเศสที่เปิดออกสู่ลานเฉลียงด้านนอก
ทางด้านขวามือเป็นห้องเล่นไพ่ ส่วนทางด้านซ้ายคือบันไดหินอ่อนที่ทอดโค้งขึ้นสู่ชั้นลอย อันเป็นที่ตั้งโต๊ะอาหารแบบบุฟเฟ่ต์
เนื่องจากเขาไม่สนใจกับการเล่นไพ่และเนื่องจากเขายังไม่พบใครที่คุ้นหน้าเลยสักคน เจมส์ เกรย์ จึงใช้วิธีเลือกจุดเหมาะที่สามารถยืนมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัวได้ทั่ว ซึ่งตรงจุดที่เขายืนอยู่นี้ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังใครวิพากษ์วิจารณ์ใคร แต่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่อสุภาพสตรีวัยรุ่นสองคน เดินเข้ามาในห้องแล้วก็มาหยุดตรงใกล้กับที่เขายืนอยู่ เจ้าหล่อนทั้งสองแต่งตัวหรูหรา ใช้พัดแพรไหมปิดปากขณะกระซิบกระซาบกันอยู่
“นี่...เธอเห็นเจ้าหญิงหรือยัง...?” สาวน้อยคนแรกถามขึ้น
“เห็นแล้วละ” คนที่สองตอบ
“ฉันว่าเจ้าหญิงนี่เป็นผู้หญิงสวยที่สุดในโลกที่ฉันเคยเห็นมาจริงๆนะ” สาวน้อยคนเดิมพูดพร้อมกับถอนหายใจ
และเพื่อนสาวของเจ้าหล่อนก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“เสื้อผ้าก็สวยยอดเยี่ยมเลยด้วย”
“ใช่...”สาวน้อยคนที่สองลดเสียงลงเมื่อกล่าวต่อว่า “มาม่าบอกว่า เฉพาะค่าผ้าอย่างเดียวก็หลาละตั้งหลายร้อยปอนด์แล้วละ”
“จริงเหรอ...?” พัดในมือของอีกฝ่ายหนึ่งชะงักงันราวถูกจับไว้
“ก็จริงน่ะสิ”
เมื่อได้รับยืนยันจากเพื่อน สาวน้อยคนแรกก็ไม่ยอมน้อยหน้าที่จะแสดงความรู้
“นี่...แล้วฉันได้ยินมาด้วยนะ ว่าพลอยสีน้ำเงินเม็ดใหญ่ที่ประดับอยู่บนเทียร่าของเจ้าหญิงน่ะ เป็นพลอยชนิดที่หายากที่สุดในโลก มีชื่อว่าซีซิลไลท์...เขาว่ากันว่า...ชื่อพลอยเม็ดนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติกับเจ้าหญิงด้วยละ”
“ช่างเป็นความโรแมนติกที่สมบูรณ์แบบอะไรอย่างนั้น...!” เพื่อนสาวของเจ้าหล่อนร้องออกมาอย่างลืมตัว “คิดดูก็แล้วกันว่ามันโรแมนติกขนาดไหน ที่จะมีอัญมณีที่ถูกตั้งชื่อตามชื่อของเราเอง...!”
สาวน้อยคนแรกทำเสียงกระเง้ากระงอดเมื่อเอ่ยออกมาว่า
“ฉันน่ะหวังมาแทบจะทั้งชีวิตเลยนะ ว่าอยากจะมีดอกกุหลาบที่ตั้งชื่อตามชื่อฉันสักต้น แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีทางเอาเสียเลย...”
มันจะเป็นไปได้อย่างไร...ที่จะเรียกดอกกุหลาบด้วยชื่ออื่น...? เจมส์ครุ่นคิดอยู่ในใจ ขณะมองตามหลังสาวน้อยคู่นั้นที่เดินห่างออกไป
แต่เพียงครู่สั้นๆ จุดที่เจ้าหล่อนทั้งสองยืนอยู่เมื่อครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยสุภาพบุรุษคู่หนึ่ง ที่ทั้งรูปร่างลักษณะและกิริยาท่าทางบอกให้รู้ว่า เลยวัยหนุ่มมานานหลายปีแล้ว
“คุณคิดว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่าล่ะ คาสซึล?” คนหนึ่งเอียงหน้าเข้าไปถามเพื่อนของเขา
“ก็แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงเล่า ลอยด์-เวิร์ธ” บุรุษผู้ดูจะสูงวัยกว่าเล็กน้อยตอบ “ผมรู้แต่เพียงว่าฝ่ายชายน่ะมีเงินมากพอที่จะเผาเล่นได้ก็แล้วกัน”
คนแรกไม่ได้คิดจะลดเสียงลงแม้แต่น้อย เป็นไปได้ที่เขาจะคิดว่า การพูดคุยเสียงดังนั้นมันเป็นสิทธิพิเศษสำหรับคนวัยกลางคนอย่างเขาอยู่แล้ว
“เขาลือกันว่ากิราเดท์เป็นเจ้าชายของที่ไหนสักแห่งหนึ่งด้วยไม่ใช่เรอะ...สงสัยจะฝรั่งเศสละมัง...ผมว่า...แถบนั้นมีชื่อสกุลที่เกี่ยวดองกับพระราชวงศ์ออกดื่นไป ไม่ว่าจะเจอชาวฝรั่งเศสคนไหน ผมรู้สึกว่าเขาจะต้องมีสายเลือดของราชสกุลอะไรสักอย่างเสมอละ”
“ส่วนใหญ่ก็ประเภทผู้ดีแต่เปลือกกันทั้งนั้น ผมไม่เห็นจะมีคนไหนที่รวยจริงสักคน” คู่สนทนาของเขาวิจารณ์ออกมาดังๆ
“แต่ฝ่ายหญิงน่ะสวยจับใจเลยนะ” คาสซึลเอาปลายศอกถองสีข้างเพื่อนพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “แถมยังดูอ่อนกว่ากิราเดท์หลายปีด้วย พนันกันก็ได้ ผมว่าผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายนำเวลาอยู่ในเตียงแน่ เชื่อผมเถอะ”
“ผมไม่รังเกียจเลยนะ ถ้าหล่อนจะนำทางผมแบบนั้นบ้าง” แล้วทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมว่าคุณตายคาอกแน่ลอยด์-เวิร์ธ” เพื่อนของเขาทำนายล่วงหน้า “แต่ก็คุ้มนะกับการได้นอนกับหล่อนสักครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้น คุณเองก็เชื่อใช่ไหมล่ะ ว่าของชิ้นนั้นเป็นของจริง”
“เท่าที่เห็นอยู่ตอนนี้น่ะจริงแน่” อีกฝ่ายหนึ่งตอบขณะเดินนำช้าๆออกจากตรงนั้น
เจมส์อยากจะออกเดินตามไปด้วย ยอมรับกับตัวเองว่า การสนทนาที่ได้ยินโดยไม่ตั้งใจ เร้าความสงสัยใคร่รู้ในตัวเขาอย่างมาก
“อย่างนี้มันไม่เรียกว่าการสนทนาหรอก...น่าจะเรียกว่าซุบซิบนินทามากกว่า...”เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง กึ่งขบขันกึ่งหมั่นไส้กับพฤติกรรมของบุคคลคู่นั้นอยู่
“...นี่ถึงขนาดต้องยืนคุยกับตัวเองแล้วหรือ...เกรย์สโตน?” มีเสียงทุ้มๆของสุภาพบุรุษคนหนึ่งทักทายมาจากข้างหลัง
เจมส์หันขวับไปมอง เขารู้สึกว่าสุภาพบุรุษที่ยืนอยู่ใกล้ตัวขณะนี้ ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงช่างคุ้นเคยเสียนี่กระไร แม้แต่รอยยิ้มที่กระจ่างอยู่บนใบหน้ายามนี้ของอีกฝ่ายหนึ่งก็คุ้นตานัก เพียงแต่เขานึกไม่ออกจริงๆว่า...ชื่ออะไร...?
“เอาละ...ในเมื่อเวลามันก็ผ่านมานานตั้งสิบห้าปีแล้ว ผมจะช่วยฟื้นความจำให้คุณสักหน่อย” หางเสียงของเขาบอกความขบขันเต็มเปี่ยม “เราเคยเรียนที่อ๊อกซฝอร์ดด้วยกันยังไงล่ะ”
คิ้วเข้มของเจมส์ขมวดเข้าหากันเมื่อใช้ความคิดอย่างหนัก
“อ๊อกซฝอร์ด...” เขาทวนคำเบาๆ รู้สึกว่าชื่อนี้ห่างหายไปจากความทรงจำแทบจะชั่วชีวิตแล้วด้วยซ้ำ
“เอ้า...เพิ่มเติมให้อีกหน่อยก็ได้...”อีกฝ่ายหนึ่งเสนออย่างมีน้ำใจ “เราเคยออกไปล่าสัตว์ด้วยกันที่บ้านในเมืองชนบทของผมในสก็อตแลนด์ และตอนนั้น ในย่ามของคุณมีนกมากกว่าพวกเรารวมกันเสียอีก มันเป็นการล่าสัตว์ครั้งที่ประทับใจมาก”
“ซิลเวอร์ธอร์น...!”
“เกรย์สโตน...” ต่างฝ่ายต่างบีบมือกันแน่นกระชับ “สบายดีหรือ...?”
“สบายดี...แล้วคุณล่ะซิลเวอร์ธอร์น?”
“ผมก็สบายดีเช่นเดียวกัน” ต่างฝ่ายต่างหัวเราะออกมาด้วยความดีใจที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
เอิร์ลแห่งซิลเวอร์ธอร์น เป็นบุตรชายคนโตและเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ว่าเขาคือทายาทของดยุคแห่งนอร์ธโคท และเป็นชายหนุ่มผู้มีเรือนร่างสูงโปร่งไล่เลี่ยกับเกรย์สโตน
“ผมจำได้ว่า เมื่อคุณเรียนจบแล้วก็เดินทางไปอินเดียเลย”
“ใช่” เจมส์พยักหน้ารับ “ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสิบห้าปีเต็ม”
“คุณไปรับราชการทหารอย่างนั้นหรือ...?”
“เปล่า...ไปทำไร่ชา” เจมส์ตอบ
เมื่อครั้งที่เจมส์ เกรย์อยู่ที่นั่น เขาแทบไม่เคยพูดภาษาอินเดียและพยายามที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้าราชการทั้งหลายของพระราชินีวิคตอเรีย เขาต้องการให้ทุกคนที่นั่นรับรู้แต่เพียงว่า เขาเป็นเจ้าของไร่ชาที่เจริญรุ่งเรืองมากแห่งหนึ่งในอินเดียเท่านั้น
“จะยังไงก็ตาม ผมดีใจจริงๆที่คุณกลับมาอังกฤษอีกครั้ง” ทั้งน้ำเสียงและการแสดงออกของซิลเวอร์ธอร์นบ่งบอกความจริงใจ
“ผมก็ดีใจที่ได้กลับมา...” เจมส์สนองตอบ
ซิลเวอร์ธอร์นมองไปยังฟลอร์เต้นรำที่คับคั่งอยู่ด้วยคู่เต้น สีหน้าใช้ความคิดเมื่อเอ่ยต่อว่า
“งานปาร์ตี้แบบนี้คงดูเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับคนที่มีประสบการณ์ในโลกกว้างอย่างคุณ”
เจมส์ไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื้องนี้นัก
“ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อหรอก” เขาตอบสั้นๆ
ท่าทางของซิลเวอร์ธอร์นบอกให้รู้ว่ายังอยากอยู่สนทนาต่อเมื่อเอ่ยถามว่า
“เข้ามาเมืองหลวงอย่างนี้แล้วคุณพักที่ไหนล่ะ?”
“ผมอยู่ที่คอร์ก เฮ้าส์”
“อา...นั่นสินะ ตอนนี้คุณเกี่ยวดองเป็นญาติกันแล้วนี่ใช่ไหม?”
“ใช่...ก็อลิสสาหลานสาวผมมาแต่งงานกับมาควิสเมื่อฤดูร้อนปีกลายนี่เอง”
“อืม...ผมได้ยินมาว่าตอนนี้ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในลอนดอน” ซิลเวอร์ธอร์นว่าและเจมส์ก็ยิ้มกว้างอย่างรู้ทัน ว่าแท้ที่จริงซิลเวอร์ธอร์นน่าจะรู้เรื่องในสังคมระดับนี้ดีอยู่แล้ว
“ลอร์ดกับเลดี้คอร์ก เขามีความเห็นตรงกัน ว่าตอนนี้ถ้าพอจะหาความสุขจากการเดินทางท่องเที่ยวได้ก็ควรจะรีบไปๆเสียก่อน เพราะอีกไม่นานลูกคนแรกก็จะคลอดแล้ว”
“ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้พบกับเลดี้คอร์กสักครั้งเลยนะ” เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขากล่าว “แต่พอจะรู้อยู่ว่าหลานสาวของคุณยังสาวแล้วก็สวยมากด้วย”
“ถูกต้อง หลานสาวผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“ลอร์ดคอร์กนี่ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน”
“ใช่ โชคดีมากทีเดียว” เจมส์คล้อยตามเพื่อน
“เกิดมาผมยังไม่เคยแต่งงานสักครั้ง” ซิลเวอร์ธอร์นเปิดเผยความลับในชีวิตให้เพื่อนเก่าฟัง ขณะสายตาจับอยู่กับคู่เต้นรำที่ลอยล่องไปตามท่วงทำนองเพลงที่ไม่มีวันจบ
“ผมก็ยังไม่ได้แต่งเหมือนกัน” อีกครั้งหนึ่งที่เกรย์สโตนสนองตอบ แต่แล้วก็อึ้งไป มันคล้ายกับเขาบังเกิดความไม่แน่ใจอยู่ลึกๆ
“ตอนนี้พวกญาติๆส่วนใหญ่ของผมเดินทางไปทัสคานี่กันเป็นแถว” ท่านเอิร์ลกล่าวต่อ “ซึ่งจะไปเพื่ออะไรผมก็ไม่รู้ในเหตุผลของพวกเขาเหมือนกัน...” หลังจากที่นิ่งเงียบไปเป็นครู่เขาก็แสดงความคิดเห็นออกมาว่า “แต่ก็พอได้ยินที่พวกเขาคุยเกี่ยวกับเรื่องลมฟ้าอากาศ อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งละมัง”