บทที่ 7
อย่างไรก็ตาม สำหรับนาทีนี้ โรดอล์ฟเลือกที่จะกล่าวเท็จ เพราะรู้สึกว่ามันน่าจะเหมาะกับสถานการณ์มากกว่าการพูดความจริง
“โอย...เธอหึงคุณจะแย่ ซึ่งผมก็เข้าใจนะเพราะมันเป็นธรรมดาที่จะต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อคุณทั้งสวยทั้งฉลาดจนรู้กันทั่วทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษขนาดนี้”
มันเป็นคำพูดที่สร้างความปลาบปลื้มให้กับมอยรายิ่งนัก อย่างที่เขารู้อยู่ว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของหล่อนเปลี่ยนไปทันที
“หม่อมฉันได้ยินมานะเพคะ ว่าเจ้าหญิงซีซิลน่ะยังเด็กแล้วก็สวยมาก”
“ที่จริงผมไม่ได้พบหลานสาวมานานหลายปีแล้ว” ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเสียทีเดียว แต่เรื่องส่วนตัวใดๆของเขาย่อมไม่เกี่ยวกับมอยราอยู่แล้ว นอกเสียจากเขาจะเปิดเผยอะไรบางอย่าง เพื่อปูเป็นพื้นฐานรองรับสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองในวันข้างหน้า “แต่ก็ยังจำได้ดีว่าตอนเล็กๆ เธอเป็นเด็กที่สวยมาก”
“แต่ตอนนี้เห็นจะไม่ใช่เด็กแล้วละเพคะ”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น”
“ตอนนี้เจ้าหญิงเป็นสาวเต็มตัวแล้ว”มอยรายังกล่าวต่อ
“ตอนนี้อายุน่าจะสัก...”เขายกมือขึ้นลูบคางขณะพยายามคำนวณอายุของเจ้าหญิงอยู่ ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้ว โรดอล์ฟจำวันเดือนปีเกิดของหลานสาวได้อย่างแม่นยำ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริง เขารู้แทบจะทุกความเคลื่อนไหวของซีซิล แห่งแซง-ซีเมียงด้วยซ้ำ “ตอนนี้น่าจะราวสิบเจ็ด...หรือสิบแปดกระมัง” เขาแสร้งเอ่ยออกไป
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าเธออายุยี่สิบสามแล้วนะเพคะ”
เห็นได้ชัดว่าเคาน์เตสตั้งคำถามที่หล่อนรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว โรดอล์ฟเองก็เคยเล่นเกมนี้มาก่อน มันเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งถ้าเล่นกับบุคคลที่เลือกมาอย่างถูกต้อง
“แล้วหม่อมฉันก็ได้รู้มาอีกว่า จะมีการจัดงานเลี้ยงเป็นการถวายการต้อนรับแก่เจ้าหญิงด้วยนะเพคะ” มอยราเพิ่มเติมข้อมูล
โรดอล์ฟ กิราเดท์ รับฟังอย่างตั้งใจ
“เท่าที่หม่อมฉันทราบมา สมเด็จพระนางเจ้าฯจะไม่เสด็จ เพราะปกติไม่เสด็จในงานอย่างนี้อยู่แล้ว แต่จะโปรดเกล้าให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จแทนพระองค์”
โรดอล์ฟยังไม่แสดงความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น
“เพราะฉะนั้น บรรดาชาวสังคมชั้นสูงต่างก็เตรียมตัวกันเป็นการใหญ่ เพื่อจะไปร่วมงานตอนค่ำวันพรุ่งนี้เพคะ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น...” โรดอล์ฟเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก “เราก็ควรจะไปร่วมงานนั้นด้วยสิ คุณว่าดีไหม?”
มอยราค่อยๆลดเท้าลงและพลิกร่างขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่กลางเตียง มือทั้งสองบีบแน่น ดวงตาเป็นประกายเรืองโรจน์
“นี่เราได้รับเชิญด้วยหรือเพคะ?”
หล่อนใช้คำผิด...รูดอล์ฟคิดอยู่ในใจ...ไม่ใช่เราแต่เป็นเขาเพียงคนเดียวต่างหาก...แต่ที่เขาตอบออกไปก็คือ
“ก็ใช่น่ะสิ”
มอยรานิ่งเงียบไปอีกเป็นครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทตัดขาดจากครอบครัวแล้วเสียอีก”
“มันไม่ถึงกับจะตัดขาดเสียทีเดียวหรอก พี่ชายผมน่ะอิจฉาในความมั่งคั่งความสุขของผมออกจะตายไป”
“แต่...”คิ้วเรียวเล็กขมวดเข้าหากัน “แต่ดูเหมือนฝ่าบาทเคยเล่าให้หม่อมฉันฟังเอง ว่าท่านพี่ของฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ไปแล้วไม่ใช่หรือเพคะ?”
“ใช่ ด้วยอุบัติเหตุเลวร้ายที่สุดเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ทั้งแม๊กซิมิเลี่ยนกับจูดิธต้องเสียชีวิตลงพร้อมกัน” เขาก้มหน้าลง “ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก”
“ขอประทานอภัยเพคะ รูดี้”
“ไม่เป็นไรหรอก...ที่รัก”
มอยรามีสีหน้าครุ่นคิดอยู่แล้วก็ถอนหายใจยาวออกมาอย่างหนักอกหนักใจ
“แต่หม่อมฉันไม่มีเสื้อผ้าใส่เลยนะเพคะ...”
“เสื้อผ้าอะไร...จะไปไหน?” โรดอล์ฟถามอย่างสงสัย
“ก็เสื้อผ้าที่จะใส่ไปงานบอลน่ะสิเพคะ”
คำตอบของหล่อนทำให้โรดอล์ฟถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“คุณน่ะมีเสื้อผ้าออกเต็มห้อง เต็มบ้าน แล้วก็ยังเสื้อราตรีอีกนับร้อยนับพันชุดนะ”
เคาน์เตสหลบตาลงต่ำ สีหน้าน้อยใจ
“หม่อมฉันหมายถึงว่า มันไม่มีเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับใส่ไปงานนี้ต่างหากเพคะ”
ผู้หญิงคนนี้ช่างหลงเงาตัวเองเสียจริง ทั้งๆที่หล่อนแทบจะวิ่งนำแฟชั่นอยู่แล้ว บางครั้งโรดอล์ฟก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า เพราะเหตุใดจึงยังเลี้ยงหล่อนไว้ แต่เจ้าชายย่อมรู้ในเหตุผลดีกว่าใครว่าเพราะเหตุใด... “ผมเห็นคุณใช้เวลาเป็นเดือนตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้รอฤดูกาลที่จะมาถึงเสียด้วยซ้ำ”
“เอ้อ...หม่อมฉันหมายถึงว่า อยากให้มันเป็นชุดใหม่ที่สวยเป็นพิเศษน่ะเพคะ”
“คุณน่ะแต่งอะไรก็สวยอยู่แล้วนะที่รัก” แม้จะใช้คำพูดปลอบใจขนาดนั้น แต่ก็ยังเห็นอยู่ว่ามันไม่ได้ผล โดยเฉพาะเมื่อหล่อนต้องการจะเป็นศูนย์รวมของความสนใจ “แต่...เออ...บางทีมันอาจถึงเวลาแล้วก็ได้...” เขาแกล้งพูดทิ้งค้างไว้อย่างนั้น ซึ่งทำให้มอยราเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย
“ถึงเวลาอะไรหรือเพคะ รูดี้?”
“ที่จริงผมอยากเก็บไว้สำหรับโอกาสพิเศษมากกว่า” เขาแกล้งยั่วต่อ
“ก็นี่ไงเพคะ...โอกาสพิเศษ” หล่อนรีบบอก
“ก็น่าจะใช่นะ”
“ว่าแต่ฝ่าบาทเก็บอะไรไว้หรือเพคะ?”
“ก็...อะไรที่ชวนให้แปลกใจนิดหน่อยยังไงล่ะ”
“ก็อะไรล่ะเพคะ ที่ฝ่าบาทว่าจะให้หม่อมฉันแปลกใจเล่นน่ะ?” มอยราหงุดหงิดด้วยความอยากรู้อย่างช่วยไม่ได้ “แล้วฝ่าบาทซ่อนมันไว้ที่ไหนหรือเพคะ รูดี้...กรุณาบอกหน่อยเถอะเพคะ...สิเพคะ...รูดี้ขา...บอกมาเถอะเพคะว่าฝ่าบาทซ่อนมันไว้ที่ไหน...?”หางเสียงของหล่อนสั่นเครือเต็มที
“เดี๋ยว...ขอผมคิดหน่อยก่อน...”เขาทำท่าเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “ผมไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน นึกไม่ออกว่าเอามันไปเก็บไว้ที่ไหน”
“รู้ดี้...!.” มอยราร้องอย่างเหลืออด
แต่เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นเกมอย่างที่คิดในตอนแรก
“เอาอย่างนี้ คุณลองเปิดลิ้นชักล่างโต๊ะข้างเตียงดูสิ”
มอยราถลันลงจากเตียงทันทีที่เขาพูดจบโดยไม่สนใจกับเนื้อตัวเปลือยเปล่า หล่อนคุกเข่าลงเปิดลิ้นชักโต๊ะ รื้อค้นทุกสิ่งในนั้นออกมา และสิ่งที่หล่อนต้องการจะหาให้พบก็ซ่อนอยู่ด้านในสุดของลิ้นชักนั่นเอง
มันเป็นกล่องเครื่องเพชร มือไม้หล่อนสั่นระริกขณะเปิดฝากล่องออก เขาได้ยินเสียงหล่อนสูดลมหายใจลึกก่อนจะระบายออกมาเป็นคำพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกว่าเสียงกระซิบเลย
“สร้อยเพชร...!”
“สร้อยเพชรเส้นนั้นเป็นของแกรนด์ ดัชเชสองค์หนึ่ง ที่ไม่สามารถจะเก็บไว้ได้อีกต่อไป” โรดอล์ฟพูดเป็นเชิงอธิบาย ขณะที่หล่อนเดินเข้ามาหาเพื่อให้เขาคล้องสร้อยเพชรเส้นนั้นให้
เขากลัดห่วงสร้อยที่แข็งแรง ก่อนจะวามือลงบนไหล่เปลือย ปลายนิ้วลูบไล้สร้อยเพชรเพียงบางเบา
มอยราถลันเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้ากระจกบานใกล้ที่สุด รอยยิ้มบนใบหน้าในยามนี้บ่งบอกถึงความรู้สึกภายใน
“มันเหมาะกับหม่อมฉันอย่างที่สุดเลยเพคะ รูดี้” หล่อนหันกลับมาทางเขา “ฝ่าบาทเห็นด้วยไหมเพคะ?”
สาวสวยที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาในยามนี้ มีเพียงสร้อยเพชรเส้นเดียวที่เป็นอาภรณ์ประดับเรือนกายที่เปลือยเปล่า เขากวาดสายตาไปทั่วเรือนร่างก่อนจะตอบหล่อนว่า
“เห็นด้วยอย่างที่สุด”
หล่อนผวาเข้าหาเขา ทั้งสะโพกและเนินทรวงแนบอยู่กับเรือนร่างเขาขณะกระซิบแผ่วว่า
“ฝ่าบาทย่อมรู้ดีนะเพคะ...ว่าหม่อมฉันจะขอบพระทัยฝ่าบาทอย่างไร...จริงไหมเพคะ?”
ร่างกายของเขาสำแดงปฏิกิริยาขึ้นอย่างที่เขาคาดไว้แล้วว่า มันจะต้องเป็นเช่นนั้น
“ผมรู้” เขาตอบเสียงเบา
ดวงตาที่เปี่ยมด้วยแววมาดหมาย เลื่อนลงมองเสื้อคลุมด้านหน้าที่กำลังส่ายไหวราวกับมีจิตวิญญาณของตัวมันเอง และมือที่รู้จักมันดีก็ประคับประคองร่างกายส่วนนั้นของเขาไว้ ขณะเดียวกันหล่อนก็หัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ
“หม่อมฉันคิดว่าทรงมองเห็นหนทางแล้วละเพคะ”
“ผมอยากให้คุณขอบใจผมครั้งแล้ว...ครั้งเล่า...นะเคาน์เตส”
“อย่างนั้นเชียวหรือเพคะ?”
“คุณก็เห็นอยู่แล้วนี่ ว่าสร้อยเพชรเส้นนั้นมันราคาแพงมาก”
“แต่ฝาบาทก็ต้องไม่ลืมด้วยเช่นกันนะเพคะ...ว่าหม่อมฉันคุ้มค่ากับเงินทุกปอนด์...ทุกฟรังส์ หรือจะเป็นรูเบิ้ลก็ตามที ที่ทรงจ่ายเป็นค่าสร้อยเพชรเส้นนั้น”
โรดอล์ฟไม่ตอบ เขาเพียงแต่กดไหล่หล่อนให้คุกเข่าลงตรงหน้า ขณะปลดสายคาดเสื้อคลุมออกและกดศีรษะหล่อนเข้าหาร่างกายของเขา ดูเหมือนมอยยราไม่จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นอะไรที่มากกว่านั้นอีกแล้ว...!
โดยความเป็นจริงแล้ว โรดอล์ฟ กิราเดท์ คาดหมายว่าจะต้องให้มอยราขอบใจเขาอีกมากมายหลายครั้งนัก เพียงแต่มันไม่ใช่ด้วยวิธีที่หล่อนกำลังปรนเปรอความสุขให้แก่เขาอยู่ขณะนี้...
เจ้าชายได้วางแผนสำหรับการที่จะใช้เลดี้เพล ให้เป็นประโยชน์ในวันข้างหน้าไว้แล้วอย่างดี...