บทที่ 5
จากคำพูดและมรรยาทที่เขาแสดงออก บอกให้รู้ได้อย่างชัดแจ้งว่า เขาเป็นสุภาพบุรุษโดยกำเนิด มีสายเลือดผู้ดีอยู่เต็มตัว เรือนร่างองอาจผึ่งผายสมชายชาตรี แม้ว่าเขาจะไว้ผมยาวเกินความนิยมของแฟชั่นอยู่สักหน่อย แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามันเหมาะสมกับเขาดี สิ่งที่เธอสังเกตเห็นอยู่ก็คือ เขาเป็นสุภาพบุรุษที่มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก ไม่มีท่าทีอ่อนไหวต่อสรรพสิ่งรอบตัวจนเกินไป ซึ่งทำให้ซีซิลต้องยอมรับว่า เธอบังเกิดความพึงใจในความเป็นชายชาตรีของเขาไม่น้อย
ประการสำคัญ มันน่าตื่นเต้นน้อยไปหรือ ที่เธอจะได้พูดจากับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอในฐานะเจ้าหญิง...?
แน่นอน...การที่เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอเยี่ยงนั้น เป็นเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอเป็นเจ้าหญิงนั่นเอง ในค่ำคืนนี้เธอเป็นเพียง ซีซิล กิราเดท์ ไม่ใช่เจ้าหญิงซีซิลแห่งแซง-ซีเมียงและเธอก็อยากให้ตัวเองเป็นเช่นนั้นไปตลอด ถึงกับสาบานกับตัวเองว่า...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เธอจะต้องปิดบังความลับนี้ไว้ให้ถึงที่สุด
ยิ่งในท่ามกลางสวนไม้ดอกยามดึกแห่งราตรีเช่นนี้ย่อมไม่มีบรรดาศักดิ์ ไม่มีการใช้ถ้อยคำแบบการทูต ไม่มีมหาดเล็ก ไม่มีนางสนองพระโอษฐ์ ไม่มีผู้ปกครองที่จะมาคอยบอกวาเธอควรหรือไม่ควรทำสิ่งใด มันคือความอิสระที่ซีซิลแทบไม่เคยรู้จักตลอดวัยยี่สิบสามปีของเธอ
บุรุษผู้นี้บ่นอะไรบางอย่างอยู่พึมพำ ก้มหน้าน้อยๆก่อนจะออกเดินตามหลังเธอหนึ่งก้าว
ขณะที่เดินผ่านพุ่มไม้ดอกที่โน้มกิ่งอยู่ด้วยน้ำหนักของดอกที่พรูพราว ชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อนว่า
“เพราะอะไรคุณถึงได้คิดอยากจะออกมาเดินเล่นในสวนกลางดึกอย่างนี้ล่ะครับ?”
“แล้วคุณล่ะ เพราะอะไรถึงได้ออกมาเดินเล่นในสวนกลางดึกอย่างนี้?” เธอย้อนถามด้วยคำถามของเขาเอง
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ...”เขายักไหล่เบาๆ “ผมตื่นขึ้นมาแล้วก็เลยตาค้างนอนไม่หลับ คิดว่าถ้าลงมาเดินเล่นในสวนน่าจะดี...ก็เท่านั้น”
ซีซิลออกจะแปลกใจกับคำตอบของเขา รู้ว่าเขาพูดความจริง
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ พอลืมตาตื่นขึ้นแล้วก็รู้ว่าอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะสว่าง ฉันมักเป็นโรคนอนไม่หลับอยู่เสมอ”
“ผมก็เช่นกันครับ” เขายอมรับ
“ของคุณเป็นแบบไหนคะ?”
“บางครั้งก็นอนไม่หลับตั้งแต่แรกเลย แต่บางครั้งอย่างเช่นคืนนี้ พอตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่มีทางจะหลับต่อได้อีก”
“ฉันก็เห็นจะต้องสารภาพ ว่าหลายต่อหลายครั้งที่ฉันตกใจตื่นเพราะความฝัน”
“ผมก็เหมือนกันครับ ตกใจตื่นเพราะฝันถึงอะไรบางอย่างที่รบกวนจิตใจอย่างมาก”
“ความฝันของฉันน่ากลัวมากเลยค่ะ จริงๆแล้วน่าจะเรียกว่าฝันร้ายจะถูกต้องกว่า”
สายลมอ่อนยามราตรีที่โบกโบก ทำให้กิ่งใบของต้นไม้ใหญ่เหนือศีรษะส่ายเสียด ในอากาศยามดึกมีกลิ่นดินกลิ่นหญ้าอวลกรุ่น คละเคล้าด้วยกลิ่นดอกไม้แรกแย้มแห่งฤดูใบไม้ผลิ ทั้งทิวลิป แดฟโฟดิลและไฮยาซินธ์
“คุณคิดว่าการที่คนเราเข้านอนตอนกลางคืน เป็นเพราะเรากลัวความมืดใช่ไหมคะ?” ซีซิลถามข้อข้องใจออกมาดังๆ
ดูเหมือนชายหนุ่มจะใช้ความคิดอย่างจริงจังกับคำถามของเธออยู่
“อาจจะมีบางคนที่คิดตรงกันข้ามก็ได้นะครับ...ผมว่า...บางที...อาจจะเป็นเพราะเรากลัวความมืดก็ได้ ที่ทำให้เราต้องลืมตาตื่นอยู่ตลอดทั้งคืน”
ซีซิลหัวเราะเบาๆอย่างขบขันในความคิดของเขา...
“ฉันเห็นจะต้องยอมรับแล้วละค่ะ ว่าเป็นการสนทนากับสุภาพบุรุษที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา”
“และมันก็เป็นการสนทนากับสุภาพสตรีที่แปลกประหลาดที่สุดสำหรับผมด้วยเช่นกันครับ”
“ซึ่งนับเป็นการดีที่เราต่างไม่รู้จักชื่อของกันและกัน”
“การไม่รู้จักชื่อของกันและกันนี่ คุณถือว่าเป็นการดีหรือครับ?”
“อ๋อ แน่นอนค่ะ ฉันถือว่าเป็นการดีอย่างยิ่งทีเดียว ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะต้องมีการคาดหวังต่างๆนาๆเกิดขึ้น มีหน้าที่มากมายที่จะต้องทำ มีแต่สิ่งเลอเลิศที่จะมอบให้กัน แล้วก็ยังจะต้องมีการคาดหวังถึงสิ่งที่ถูกเหมาเอาว่า เป็นความรับผิดชอบของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย...”ซีซิลถอนหายใจเบาๆ “มันยังมีอะไรมากมายเหลือเกินที่คนเราต้องทำ”
“ถ้าเช่นนั้นสำหรับค่ำคืนนี้ เราคงจะพูดคุยกันโดยไม่ต้องรู้จักชื่อ...ก็ได้ครับ...แล้วแต่คุณ” เขาหันมาบอก
“ฉันอยากให้เป็นอย่างนั้นมากเลยค่ะ”
ต่างฝ่ายต่างเดินไปด้วยกันเงียบๆอีกเป็นครู่ หลังจากเวลาผ่านไป เธอก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“ฉันไม่เคยลงมาเดินในสวนตอนกลางวันเลยค่ะ”
“ผมก็เหมือนกันครับ” เขาตอบ “จริงๆแล้วผมเพียงแค่เห็นตอนที่เดินทางมาถึงลอนดอนเมื่อวานนี้เท่านั้นละครับ”
ซีซิลโน้มตัวลงสูดดมความหอมของดอกไม้แรกแย้มที่บานอยู่ข้างทาง เมื่อยืดร่างขึ้นก็เอ่ยถามเขาอย่างชวนคุย
“คุณรู้จักลอนดอนดีไหมคะ?”
“เห็นจะต้องยอมรับนะครับ ว่าผมมีความรู้เกี่ยวกับเมืองนี้น้อยมาก คือ...ผมหมายถึงว่า ผมไปอยู่ที่อื่นเสียหลายปี เพิ่งจะเดินทางกลับมาเมื่อไม่นานนี้เองครับ”
“สำหรับฉันน่ะเคยเดินทางมาอังกฤษครั้งหนึ่งตอนที่ยังเด็กอยู่ แต่ว่านั้นมันก็นานมากแล้ว ก็เลยแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับกรุงลอนดอนเลย”
อีกครั้งหนึ่ง ที่ชายหนุ่มทอดฝีเท้าให้ช้าลง เพื่อให้พอดีกับเธอ ซีซิลอดที่จะสังเกตท่อนขาของเขาที่ค่อนข้างยาวและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่า เราเป็นคนแปลกหน้าสองคนในแผ่นดินที่แปลกประหลาดสำหรับเรา”
“นั่นเป็นข้อความที่อยู่ใน ดิ เอ็กโซดัส” เธอเอ่ยขึ้นลอยๆ
“ใช่ครับ...”เขาค้อมศีรษะน้อยๆอย่างยอมรับ “โสโฟเคิลส์ ยังเขียนอะไรทำนองนี้ไว้อีกแยะมาก”
“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้ารับ
มันออกจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆเธอก็หยิบยกเรื่องราวของนักประพันธ์สมัยกรีกโบราณ ขึ้นมาสนทนากับสุภาพบุรุษ ที่จนบัดนี้เธอยังไม่รู้จักชื่อของเขา ขณะที่เขากับเธอเดินเคียงข้างกันอยู่ในสวนดอกไม้กลางกรุงลอนดอน ท่ามกลางราตรีที่เหน็บหนาว
กระนั้น ซีซิลแห่งแซง-ซีเมียงก็ยังได้พบว่า มันเป็นคืนที่จิตใจเธอสงบสุขกว่าหลายเดือนที่ผ่านมา หรือที่ถูกน่าจะกว่าหลายปีด้วยซ้ำ
มันเป็นอะไรบางอย่างที่แปลกมากจริงๆ...!
และแล้ว...จากที่ใดที่หนึ่ง ทั้งสองต่างแว่วเสียงซอที่ดังมาในสายลม...
“เอ๊ะ...นั่นเสียงอะไรคะ...?” เธอเอียงคออย่างตั้งใจฟัง
“นักดนตรีข้างถนนกำลังสีซอเพื่อแลกกับเหรียญทองแดงสักหนึ่งหรือสองเหรียญน่ะครับ” เขาตอบ
“แล้วคุณรู้จักชื่อเพลงที่เขากำลังเล่นอยู่ไหมคะ?”
“ผมนึกออกแล้วละ มันเป็นเพลงชื่อ Are You Sleeping,Maggie...เป็นเพลงสำเนียงเซลติก”
จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบไป ตั้งใจฟังเสียงเพลงที่บ่งบอกถึงความเปลี่ยวเหงาเศร้าใจ บางครั้งก็สลับด้วยความหวังและความชื่นบานมีชีวิตชีวา จนเมื่อเสียงเพลงจางหายไปเหลืออยู่แต่ความเงียบของบรรยากาศ ซีซิลจึงได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“มันเป็นบทเพลงที่สวยงามจับใจมากนะคะ”
“ใช่ครับ ไพเราะจับใจจริงๆ”
“เอ๊ะ...นั่นแสงอะไรคะ...ตรงขอบฟ้านั่น...?”
“แสงแรกของยามอรุณไงล่ะครับ”
ปกติ ซีซิลจะต้อนรับยามอรุณรุ่งด้วยความยินดีปรีดา ภายหลังจากผ่านคืนที่นอนไม่หลับเพราะฝันร้ายมาแล้ว แต่สำหรับค่ำคืนนี้ เธอกลับรู้สึกผิดหวังอย่างไรบอกไม่ถูก
“ก็หมายความว่า อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้วสินะคะ”
“ผมคิดว่าคงจะอีกสักชั่วโมงครับ”
ซีซิลดึงปีกหมวกฮู๊ดให้กระชับอยู่กับใบหน้าเมื่อบอกกับเขาว่า
“ถ้าเช่นนั้นฉันเห็นจะต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ผมเองก็ต้องกลับด้วยเช่นกันครับ คุณผู้หญิง”เขาบอก
และตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเธอคงไม่ได้พบปะสุภาพบุรุษแปลกหน้าผู้นี้อีก ออกแปลกใจตัวเองอยู่ครามครันเมื่อมีความรู้สึกเสียดายผ่านวูบเข้ามาในใจ
“ลาก่อนค่ะ” เธอรีบหันหลังให้เขาและรีบรุดเดินกลับไปยังประตูหลังของคฤหาสน์เกสท์ เฮ้าส์
“มันจะต้องไม่ใช่แค่คำว่าลาก่อน” ชายหนุ่มพูดเบาๆอยู่กับตัวเอง ขณะจับตามองตามร่างในชุดสีขาวที่เร่งฝีเท้าจากไป “ผมว่า...ถ้าเราจะใช้คำว่า...ลาก่อนจนกว่าจะพบกันใหม่...มันน่าจะถูกต้องกว่า”