บทที่ 3
เมื่ออายุย่างเข้า 18 เธอก็ได้รับการปลูกสัมพันธ์จากชายหนุ่มที่มีเชื้อสายขุนนางและลูกผู้ลากมากดีแห่งวงสังคมชั้นสูงทั้งหลาย นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งเจ้าชาย ดยุคและแม้แต่กษัตริย์หนุ่มแห่งอาณาจักรเล็กๆอีกถึงสองแห่ง จนกระทั่งเมื่อถึงวันวิปโยคแห่งชีวิต เมื่อทั้งท่านพ่อและท่านแม่ต้องสิ้นพระชนม์ลงพร้อมกัน โลกอันสดสวยของเธอก็มืดมนลงโดยพลัน
ซีซิลถอนหายใจ แล้วก็สูดลมหายใจลึกเข้าไว้อีกครั้ง อย่างน้อยอากาศที่เกสต์ เฮ้าส์แห่งนี้ ก็ไม่ได้อบอวลด้วยกลิ่นสาบม้า สาบคนและกลิ่นเหม็นอับด้วยความชื้นอย่างเช่นอากาศตามถนนในกรุงลอนดอน
มีเสียงเคาะเบาๆดังขึ้นตรงหน้าประตูขัดจังหวะความคิดของเธอ...
“ทรงตื่นอยู่หรือเปล่าเพคะ...?” เป็นเสียงถามที่คุ้นหูของแอน ฟาราเดย์ ผู้เป็นทั้งพระสหายสนิทและนางสนองพระโอษฐ์
ในครู่สั้นๆนั้นที่ซีซิลคิดจะไม่ตอบ ทั้งนี้เพราะเธอมีเวลาอยู่กับตัวเองน้อยมาก มันเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด ตามความเป็นจริงแล้ว นับแต่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นซึ่งทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ต้องสิ้นพระชนม์ลงเมื่อสองปีก่อน และกับ “เหตุร้าย” ที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ผู้ใกล้ชิดทุกคนต่างคอยระแวดระวังเธอมากขึ้นกว่าเดิม
ทุกคนต่างคิดว่า ความเงียบขรึมที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น เนื่องมาจากเธอยังโศกเศร้าเสียใจไม่หาย
แต่จริงๆแล้ว เธอไม่ได้เป็นเช่นที่ใครคิด เธอกำลังครุ่นคิดหาหนทางที่จะแก้แค้นมากกว่า
“เข้ามาสิ แอน” ซีซิลรับสั่งเบาๆ พอได้ยิน
ประตูเปิดออกและแอน ฟาราเดย์ สาวสวยผู้มีเรือนผมสีบลอนด์สลวยยาวลงคลุมไหล่ ก็เดินถือตะเกียงเข้ามาในห้อง สีหน้าและแววตากรุ่นกังวล
“ไม่ทรงเป็นอะไรใช่ไหมเพคะ ซีซิล?”
“ฉันจะเป็นอะไร...สบายดีทุกอย่าง”
“แล้วทรงรู้ไหมเพคะ ว่านี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว...?”
“ไม่รู้หรอก ว่าแต่มันดึกมากหรือว่าใกล้สว่างแล้วล่ะ...?” รับสั่งถามโดยไม่หันไปมองนาฬิกาที่ติดอยู่ข้างผนังห้องเสียด้วยซ้ำ
“ตีสามแล้วเพคะ”
“ถือเป็นคำตอบได้ทั้งสองคำถามเลยสินะ”
“นี่ทรงนอนไม่หลับอีกแล้วหรือเพคะ?” แอนถามด้วยสีหน้าห่วงใย
“ใช่...”ซีซิลตอบสั้นๆเพียงแคนั้น
เลดี้ แอน ฟาราเดย์อยู่ใกล้ชิดเคียงข้างเจ้าหญิงน้อยมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ไม่มีใครอีกแล้วที่จะสนิทรู้ใจเจ้าหญิงดีกว่าเธอ
“ซีซิล...นี่หมายความว่า ทรงฝันแบบนั้นอีกแล้วหรือเพคะ?” เธอหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า “ฝันร้าย”
“ฉันเพียงแต่ตื่นขึ้นมาเฉยๆเท่านั้น” รับสั่งเลี่ยงเสีย ซึ่งมันก็เป็นความจริง เพียงแต่ไม่ทั้งหมดเท่านั้น
“แล้วตื่นเพราะอะไรล่ะเพคะ?
“ไม่รู้สิ บางทีอาจจะเป็นเพราะผิดที่ละมัง ทั้งผิดเตียง ผิดห้องนอน อีกอย่างหนึ่งลอนดอนมันก็ไม่มีอะไรเหมือนแซง-ซีเมียงเลยสักอย่าง”
“แต่มันก็น่าตื่นเต้น ตื่นใจมากใช่ไหมล่ะเพคะ?” ดวงตาของแอนเป็นประกาย “หม่อมฉันยังจดจำงานราตรีทุกค่ำคืน ที่เต็มไปด้วยพวกหนุ่มหล่อนั่นได้ดีทีเดียวเพคะ นอกจากนั้นก็ยังมีงานเลี้ยงอาหารค่ำ งานบอลหรูหรา งานเลี้ยงต้อนรับ ได้รับการเชิญไปดูคอนเสิร์ต ไปดื่มน้ำชายามบ่ายหรือไม่ก็ไปรับประทานอาหารเช้า...โอย...รายการมันช่างมากมายก่ายกอง ไปกันแทบไม่หวัดไม่ไหวทีเดียว หม่อมฉันเต้นรำทุกเพลงเลยนะเพคะ สนุกอย่างเหลือจะหาอะไรเปรียบเลยละเพคะ”
“ฉันเชื่อ”
“เอ้อ...”แอนอึกอักขึ้นมาทันที “หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดพล่าม...”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าแอน ฉันไม่ได้รับเกียจอะไรสักหน่อย” ซีซิลทำท่าปิดปากหาว “เห็นจะต้องเข้านอนเสียที ตอนนี้ชักง่วงขึ้นมาจริงๆแล้ว พบกันตอนเช้านะ”
“เพคะ ราตรีสวัสดิ์เพคะ”
“ราตรีสวัสดิ์ แอน “ ซีซิลรีบตอบรับจากใต้ผ้าห่ม
ในที่สุด ประตูก็ปิดลงอย่างเงียบกริบ...
ซีซิลรอเวลาอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ยังอดทนรอให้นานกว่านั้นอีกเล็กน้อยเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะเลื่อนตัวลงจากเตียง ครั้งนี้ไม่ได้จุดไฟขึ้น เพียงแต่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง เพ่งสายตามองลงไปยังสวนไม้ดอกเบื้องล่าง เกิดความรู้สึกอยากจะลงไปเดินในสวนแห่งนั้นขึ้นมา
เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีขาวเรียบๆ สวมรองเท้าคู่ที่สวมสบายที่สุด ก่อนจะลงบันไดไปชั้นล่างด้วยฝีเท้าเงียบกริบ นับเป็นความชำนาญอีกอย่างหนึ่งที่เธอเฝ้าฝึกฝนเพื่อเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น
กุญแจประตูสวน อยู่ในลิ้นชักโต๊ะไม้มะฮอกกานีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโต๊ะทำงานของท่านเจ้าของบ้าน ซึ่งพำนักอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ เธอมั่นใจว่า จูเลียน แฟรงคลิน เกสท์ ผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งสแตนโฮป จะไม่รับเกียจแน่ถ้าเธอขอยืมกุญแจ เพื่อไขประตูเข้าไปเดินเล่นในสวนไม้ดอกของเขา โดยเฉพาะเมื่อเขามีน้ำใจให้เธอเข้ามาพำนักอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ และยังอนุญาตให้เธอใช้รถม้า รวมทั้งคนรับใช้ทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ขณะที่ตัวเขาเองนั้นเดินทางไปทัสคานี่
ซีซิลพบกุญแจดอกนั้นและเพียงแค่สอดกุญแจเข้าไปในรู ออกแรงบิดเบาๆ ประตูรั้วนั้นก็เปิดออกและซีซิลก็ก้าวเข้าไปเข้าไปในสวนไม้ดอกแห่งนั้น ยินดียิ่งนักที่จะได้อยู่เพียงลำพังเสียที...
มันต้องเป็นผีแน่ๆ...
นั่นเป็นความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาในสมองของเจมส์ เกรย์...
แล้วเขาก็ได้คิด ว่าสิ่งที่กำลังเคลื่อนตัวมาตามเส้นทางเดินในสวน ตรงมายังเขาที่กำลังเดินอยู่เช่นกัน คือสตรีที่ห่อหุ้มเรือนร่างอยู่ในชุดสีขาว นับแต่หมวกฮู๊ดจนถึงรองเท้าที่เธอสวมใส่อยู่
หญิงสาวในชุดสีขาว...!
และทันใด ต่างฝ่ายต่างก็ชะงักฝีเท้าลง...
แม้จะอยู่ห่างจากกันไม่มาก แต่เจมส์ก็ยังไม่อาจมองเห็นใบหน้าเธอได้ ไม่เพียงแต่เพราะมันเป็นยามดึกที่ม่านหมอกปกคลุมทั่วทั้งสวนหนาแน่น แต่ปีกหมวกฮู๊ดยังบดบังใบหน้าเธอไว้อีกด้วย
เป็นครู่ที่ต่างฝ่ายต่างยืนนิ่งงัน...
และแล้ว หญิงสาวก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน น้ำเสียงของเธอเจือด้วยสำเนียงที่เจมส์ไม่อาจบอกได้ ว่าเป็นฝรั่งเศส อิตาเลี่ยนหรือว่าเวียนนิส อย่างไรก็ตามมันเป็นคำถามห้วนๆเช่นผู้มีสิทธิ์พึงรู้
“นั่นใคร...?”
“ก็ใครล่ะที่ต้องการรู้...ผมขอถาม?” เจมส์สวนกลับไป
ไม่มีคำตอบกลับมาในทันที ฝ่ายหญิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มากพอที่เจมส์จะมองเห็นปลายคางที่มีเฟอร์อำพรางอยู่
“ถ้าเช่นนั้นฉันก็เห็นจะต้องบอกให้รู้...ว่าสวนแห่งนี้เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล
เจมส์เองก็หงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องรับรู้ ว่าในสวนแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว
“ผมทราบดีครับ คุณผู้หญิง”
“การที่จะเข้ามาในสวนนี้ได้ จะต้องใช้กุญแจไขเปิดประตูรั้วเข้ามา” เธอกล่าวต่อ
เจมส์ไม่ตอบ เขาเพียงแต่ล้วงลงไปในกระเป๋า หยิบกุญแจออกมาชูในท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟจากมุมสวน
“ดอกนี้ใช่ไหมครับ?”
เจมส์ไม่ทันสังเกตเห็น ว่าหญิงสาวเองก็หยิบกุญแจที่เธอน่าจะซ่อนไว้ในเนื้อตัวตรงไหนสักแห่งออกมาด้วยเช่นกัน
“ฉันก็มีกุญแจ” เธอนิ่งอึ้งไปเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เจมส์เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“ถ้าเช่นนั้นผมคิดว่าเราสองคนต่างได้รับอนุญาตให้เข้ามาเดินเล่นในสวนนี้ได้นะครับ”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” เธอตอบอย่างไม่เต็มใจนัก
“ผมเป็นแขกมาพักอยู่ที่คอร์ก เฮ้าส์ครับ” เขาบอก
“ฉันก็เป็นแขกเหมือนกันค่ะ พักอยู่ที่เกสท์ เฮ้าส์” เธอตอบเสียงเบาก่อนจะกล่าวต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นเชิญคุณเดินต่อเถอะค่ะ...ฉันจะไปตามทางของฉันเหมือนกัน”
“เอ้อ...”ดูเหมือนเจมส์เพิ่งจะตั้งสติได้ เขากระแอมเบาๆ “คือ...เอ้อ...ในฐานะสุภาพบุรุษ ผมคงจะดูไร้น้ำใจอย่างมาก ถ้าไม่ได้เตือนให้คุณทราบเสียก่อนว่า ในสวนแห่งนี้ไม่เหมาะที่สุภาพสตรีอย่างคุณจะออกมาเดินเล่นคนเดียวตอนกลางดึกอย่างนี้นะครับ”
“ขอบใจค่ะ ที่คุณแสดงความเป็นห่วง” ดูเหมือนในฐานะสุภาพบุรุษอีกเช่นกัน ที่ทำให้เขาไม่มีทางเลือก บัดนี้มันกลายเป็นว่า เธอจะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของเขาเสียแล้ว